วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

โฟมล้างหน้าสุดคิวท์ กดแล้วเป็นวิปโฟมรูปดอกกุหลาบ !

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ
          
          โฟมล้างหน้าสุดคิวท์ กดแล้วเป็นวิปโฟมรูปดอกกุหลาบ โอ๊ย ...คนคิดก็ช่างครีเอท บอกเลยว่าเห็นแล้วมือสั่นอยากได้สุด ๆ 


          ขึ้นชื่อว่าประเทศญี่ปุ่น สาว ๆ ก็คงรู้กันอยู่แล้วแหละว่าประเทศนี้ มีแต่ไอเทมน่ารักสร้างสรรค์เต็มไปหมด แม้แต่โฟมล้างหน้าที่กำลังเป็นที่ฮือฮาตอนนี้ ก็ยังใส่ใจในรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ให้ไม่เหมือนใคร ซึ่งโฟมล้างหน้าตัวนี้มีความมุ้งมิ้งสุด ๆ ตรงที่ กดออกมาแล้วมีวิปโฟมรูปดอกกุหลาบสุดฟริ้งฟริ้ง บอกเลยว่ามันสวยมันเริดและช่วยเพิ่มระดับความแฮปปี้ในระหว่างล้างหน้าได้เป็นกอง คือ ... อยากได้ !

          สำหรับโฟมล้างหน้าสุดคิวท์ตัวนี้จะวางขายในเดือนกันยายนค่ะ แค่เห็นก็รู้สึกถึงความฟูนุ่ม และสัมผัสได้ถึงความหอมละมุนแล้วเนอะ ยอมใจในความครีเอทของญี่ปุ่นจริง ๆ จ้า

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

หัวของขวดโฟมล้างหน้าจะเป็นแบบนี้ค่ะ พอเริ่มกดก็จะออกมาเป็นรูปดอกกุหลาบเก๋ ๆ เลย

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ

โฟมล้างหน้าดอกกุหลาบ


ภาพจาก : kanobo-cosmetics.jp


Cr.http://women.kapook.com/view155288.html

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร ไขข้อข้องใจ พร้อมวิธีรักษาฝีเบื้องต้น

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร
          
          สิวกับฝีต่างกันอย่างไร เมื่อมีตุ่มเล็ก ๆ แดง ๆ ขึ้นตามใบหน้าหรือร่างกาย เราจะรู้ได้อย่างไรงว่าเป็นสิวหรือฝีกันแน่ แล้วถ้าเป็นฝีจะรักษาเบื้องต้นอย่างไรดี วันนี้เรามีข้อมูลมาให้ศึกษากันค่ะ


          สืบเนื่องจากกรณีของ "กวาง กมลชนก" หวิดเสียโฉม เนื่องจากมีตุ่มเม็ดเล็ก ๆ ขึ้นบนใบหน้า เพราะตอนแรกคิดว่าเป็นเพียงแค่สิว แต่ที่ไหนได้เมื่อไปพบคุณหมอกลับมาทราบภายหลังว่าตุ่มเม็ดเล็ก ๆ ที่ขึ้นนั้นคือ "ฝี" ไม่ใช่ "สิว" จึงต้องรีบรักษาด้วยการขูดเอาหนองออกจนใบหน้าเกิดเป็นรูโบ๋ งานนี้เรียกได้ว่าเป็นอุทาหรณ์เตือนใจ เพราะตุ่มเม็ดเล็ก ๆ ที่คิดว่าไม่มีอะไรเกือบทำเอาหวิดเสียโฉมกันเลยทีเดียว 
สิวกับฝีต่างกันอย่างไร

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร
          สำหรับกรณีที่เกิดขึ้นนี้ เชื่อว่ายังมีคุณสาว ๆ อีกหลายคนที่แยกไม่ออกเช่นเดียวกัน ว่าเวลามีตุ่มเล็ก ๆ แดง ๆ ขึ้นบนใบหน้าหรือตามร่างกายนั้น แท้จริงแล้วมันคือสิวหรือฝีกันแน่ เพราะดูผิวเผินแล้วทั้งสองอย่างช่างดูคล้ายกันเหลือเกิน แล้วอย่างนี้เราจะแยกออกได้อย่างไร เอาเป็นว่าใครที่กำลังสงสัยและกังวลใจเรื่องนี้อยู่ วันนี้กระปุกดอทคอมมีข้อมูลมาฝากกันแล้วค่ะ

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร


          "สิว" เกิดขึ้นจากการอุดตันของต่อมไขมันบริเวณรูขุมขน เมื่อมีการอุดตันจึงเกิดเป็นสิวขึ้นมาเช่น สิวหัวขาว หรือสิวหัวดำ ทั้งนี้หากบริเวณรูขุมขนที่อุดตันนั้นมีการติดเชื้อแบคทีเรียก็จะทำให้เกิดการอักเสบ กลายเป็นสิวอักเสบขึ้นมาโดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มแดง หรือตุ่มหนองเม็ดเล็ก ๆ ไม่ใหญ่มาก เป็นต้น

          ส่วน "ฝี" นั้น เกิดขึ้นจากการอักเสบและติดเชื้อ มักมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียหรือปรสิต โดยจะมีลักษณะเป็นตุ่มที่เกิดขึ้นจากการรวมตัวกันของหนองอยู่บริเวณใต้ผิวหนัง และจะมีอาการปวด บวม แดง ร้อน และตุ่มจะโตขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อหนองแตกหรือมีการเอาหนองออกแล้วอาการเจ็บปวดถึงจะทุเลาลง

          ทั้งนี้แม้ว่าสิวและฝีจะมีลักษณะที่คล้ายกันก็จริงอยู่ แต่ถ้าสังเกตให้ดี ฝีจะมีลักษณะของตุ่มที่ใหญ่กว่าสิว โดยทั่วไปแล้วฝีมักจะมีขนาดเท่าเม็ดถั่วไปจนถึงลูกกอล์ฟ และจะมีอาการปวดระบมมากกว่า ทั้งนี้ถ้าเป็นสิวจะสามารถหายได้เองและใช้เวลาไม่นาน แต่ถ้าเป็นฝีอาการบวมแดงจะเกิดขึ้นหลายวัน รวมถึงอาการเจ็บบวมก็จะไม่ลดลงจนกว่าจะได้รับการรักษาที่ถูกวิธี ซึ่งฝีนั้นสามารถเกิดขึ้นได้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นใบหน้า ลำตัว แขน ขา ใต้รักแร้ หรือก้น ส่วนสิวจะเกิดขึ้นบริเวณที่มีต่อมไขมันเท่านั้น อย่างเช่น ใบหน้า ศีรษะ หน้าอก และแผ่นหลัง เป็นต้น ทั้งนี้ถ้าหากสิวมีการอักเสบมาก ๆ ก็อาจจะพัฒนากลายเป็นฝีได้เช่นเดียวกัน

สิวกับฝีต่างกันอย่างไร

วิธีรักษาฝี


          - สำหรับวิธีรักษาฝี เบื้องต้นให้ใช้ผ้าขนหนูนุ่ม ๆ ชุบน้ำอุ่น แล้วนำมาประคบหัวฝีประมาณ 20 นาที วันละ 2-3 ครั้ง วิธีนี้จะเร่งให้ฝีแตกเร็วขึ้น และจะต้องรับประทานยาปฏิชีวนะและทายาที่หัวฝีเพื่อฆ่าเชื้อโรค 

          - แต่ถ้าหากเป็นฝีใหญ่มีหนอง จะต้องไปพบแพทย์เพื่อผ่าตัดเอาหัวฝีและหนองออก และรับประทานยาแก้อักเสบร่วมด้วย ซึ่งในระยะนี้ควรหลีกเลี่ยงไม่ให้แผลโดนน้ำ และควรหมั่นทำความสะอาดแผลอย่างสม่ำเสมอจนกว่าจะแห้ง เพื่อป้องกันการอักเสบหรือติดเชื้อ 

          - ในกรณีที่เป็นฝีแล้วมีไข้ร่วมด้วยอาจจะต้องใช้วิธีรักษาโดยการฉีดยาปฏิชีวนะ เพราะอาการนี้แสดงว่าเชื้อของฝีกำลังกระจายเข้าสู่กระแสเลือดนั่นเองค่ะ

          ทีนี้สาว ๆ ก็คงจะแยกระหว่างสิวกับฝีออกแล้วใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้าหากใครที่ยังไม่แน่ใจละก็ แนะนำอย่าบีบสิวหรือฝีเอง ควรรีบไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวินิจฉัยและทำการรักษาจะดีที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อจะได้ไม่เป็นอันตรายและจะได้ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียโฉมอย่างไรล่ะคะ

ภาพจาก : Instagram kwang.kamolchanok


Cr.http://women.kapook.com/view158133.html

9 สมุนไพรลดน้ำหนักที่พิสูจน์มาแล้วว่าได้ผลจริง อยากผอมต้องรีบจัด !

สมุนไพรลดน้ําหนัก

          สมุนไพรลดน้ำหนัก ที่คอนเฟิร์มแล้วว่าลดน้ำหนักได้จริง สิ่งดี ๆ จากธรรมชาติ เพื่อหุ่นสวยเป๊ะดังฝัน  

          นอกจากการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารแล้ว สมุนไพรก็ถือเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่ดีไม่น้อย เพราะเป็นสิ่งที่มาจากธรรมชาติ และไม่ค่อยมีผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย จึงทำให้หลายคนที่อยู่ในช่วงฟิตหุ่นมักจะมองหาอาหารเสริมที่มีส่วนผสมของสารสกัดจากสมุนไพรต่าง ๆ มาช่วยลดน้ำหนักอีกแรง แต่จะมีสมุนไพรชนิดไหนบ้างล่ะที่สามารถลดน้ำหนักได้จริง ลองมาดูสมุนไพรและเครื่องเทศทั้ง 9 ชนิดนี้ที่เราคัดมาแล้วว่าใช้ได้ผลจริง เพราะมีผลวิจัยรับรองอย่างชัดเจน และมั่นใจได้ว่าไม่มีผลกระทบต่อสุขภาพแน่นอน
สมุนไพรลดน้ําหนัก

1. ใบย่านาง

          สมุนไพรพื้นบ้านที่มีประโยชน์หลากหลายอย่างใบย่านางนี้ ไม่เพียงแต่มีฤทธิ์ช่วยดับพิษร้อนเท่านั้น แต่ยังช่วยลดน้ำหนักได้ด้วย โดยการศึกษาจากทีมนักวิจัยมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีที่ถูกตีพิมพ์ในวารสาร International Food Research Journal พบว่า การรับประทานใบย่านางจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญไขมันที่สะสมในร่างกายเพื่อนำไปใช้พลังงาน อีกทั้งยังมีไฟเบอร์สูงทำให้รู้สึกอิ่มได้นานขึ้น ซึ่งเจ้าใบย่านางนี้ก็สามารถนำใบมารับประทานได้หลายแบบไม่ว่าจะเป็นการรับประทานแบบใบสด คั้นเป็นน้ำดื่ม หรือรับประทานแบบแคปซูลก็ได้ประโยชน์ดี ๆ ทั้งนั้นเลยล่ะ


สมุนไพรลดน้ําหนัก

2. เก๋ากี้ (โกจิเบอร์รี)

          นอกจากบำรุงสายตาแล้ว เก๋ากี้ ก็ยังส่งผลดีต่อการลดน้ำหนักเช่นกัน โดย Dr.Earl Mindell เจ้าของผลงานหนังสือ Goji : The Himalayan Health Secret ได้เปิดเผยว่า เก๋ากี้เป็นซูเปอร์ฟู้ดที่ดีต่อร่างกาย มีน้ำตาลน้อย อีกทั้งเมื่อรับประทานเข้าไปแล้วก็ยังจะช่วยกระตุ้นการเผาผลาญพลังงานในร่างกายได้ แถมเจ้าสมุนไพรจีนชนิดนี้ก็ยังมีไฟเบอร์สูงช่วยลดความอยากอาหารและช่วยให้อิ่มนานขึ้น เรียกได้ว่าเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์หลายทางเลยทีเดียว


สมุนไพรลดน้ําหนัก

3. ขิง


          ถ้าจะพูดถึงสมุนไพรที่ช่วยลดน้ำหนักแล้ว หากไม่พูดถึงขิงก็คงจะไม่ได้ เพราะสมุนไพรที่มีฤทธิ์ร้อนชนิดนี้ยังช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดี โดยการศึกษาจากนักวิจัยชาวญี่ปุ่น L.K. Han ที่ถูกตีพิมพ์บนวารสาร Journal of the Pharmaceutical Society of Japan ในปี 2008 แสดงให้เห็นว่า ขิงมีส่วนกระตุ้นการเผาผลาญในร่างกาย ทำให้ร่างกายเผาผลาญไขมันสะสมได้มากขึ้น จึงทำให้ผอมได้เร็วขึ้น อีกทั้งช่วยแก้อาการท้องผูก และผ่อนคลายความเครียด ดังนั้นถ้าคิดจะลดน้ำหนักละก็ ดื่มน้ำขิงร้อน ๆ สักแก้วทุกวันก็ดีนะคะ


สมุนไพรลดน้ําหนัก

4. อบเชย

          กระทรวงเกษตรของสหรัฐฯ หรือ USDA เผยว่า อบเชยสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ เพราะอบเชยเป็นเครื่องเทศที่มีสรรพคุณช่วยป้องกันภาวะผกผันของระดับน้ำตาลในเลือด แถมช่วยบรรเทาความหิว นอกจากนี้อบเชยยังสามารถลดไขมันในเส้นเลือดที่อาจจะเป็นสาเหตุของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี ประโยชน์ดี ๆ หลายต่อแบบนี้ ถ้าไม่รักเจ้าเครื่องเทศชนิดนี้ก็ไม่รู้จะทำยังไงแล้วนะเนี่ย


สมุนไพรลดน้ําหนัก

5. กระชาย
          จากการศึกษาของสถาบัน Clinical Research Information Service ในประเทศเกาหลีใต้ พบว่ากระชายสามารถช่วยลดน้ำหนักได้ โดยในการศึกษาได้แบ่งอาสาสมัครออกเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก รับประทานยาแป้ง อีกกลุ่มรับประทานสารสกัดจากกระชาย ผลที่ได้คือกลุ่มที่รับประทานสารสกัดจากกระชายมีระดับมวลไขมัน รอบเอว และน้ำหนักลดลงตามลำดับ นอกจากนี้กระชายยังมีประโยชน์ในด้านอื่น ๆ ทั้งช่วยขับปัสสาวะ รักษาโรคผิวหนัง และเพิ่มสมรรถภาพทางเพศ


สมุนไพรลดน้ําหนัก

6. พริกไทยดำ

          พริกไทยดำ สมุนไพรรสชาติเผ็ดร้อนนี้ มีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการเผาผลาญได้เป็นอย่างดี อีกทั้งสามารถช่วยป้องกันการก่อตัวของเซลล์ไขมันในร่างกายได้ จัดได้ว่าเป็นเครื่องเทศอันดับต้น ๆ ที่ดีต่อการลดน้ำหนัก แถมยังช่วยกระตุ้นระบบย่อยอาหารให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งในปัจจุบันวิธีรับประทานพริกไทยดำก็ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การนำไปใส่ในอาหารเท่านั้น แต่ยังมีแบบแคปซูลให้เลือกรับประทานกันได้ง่าย ๆ ด้วย จะเลือกรับประทานแบบไหนก็ตามสะดวกเลย


สมุนไพรลดน้ําหนัก

7. กระเทียม


          กลิ่นฉุนที่เป็นเอกลักษณ์ของกระเทียมอาจทำให้ใครหลายคนไม่ชอบ แต่ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่กำลังลดน้ำหนักก็ไม่ควรพลาดสมุนไพรชนิดนี้ด้วยประการทั้งปวง เพราะกระเทียมจะเข้าไปกระตุ้นการเผาผลาญในร่างกาย โดยจากการทดลองกับหนูแสดงให้เห็นว่า เมื่อให้หนูกินกระเทียมติดต่อกัน 7 สัปดาห์ น้ำหนักของหนูก็จะลดลงตามลำดับ ไม่เพียงเท่านั้นกระเทียมยังช่วยป้องกันและรักษาโรคหวัดได้อีกด้วย ถ้าไม่อยากพลาดประโยชน์ดี ๆ ของกระเทียม ทั้งในเรื่องสุขภาพและการลดน้ำหนัก ขอแนะนำให้รับประทานกระเทียมสด เพราะกระเทียมที่ผ่านการปรุงสุกแล้วจะมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์น้อยกว่าค่ะ


สมุนไพรลดน้ําหนัก

8. ขมิ้นชัน


          ขมิ้นชันเป็นเครื่องเทศที่มีคุณสมบัติต่อต้านอาการอักเสบ แต่นอกเหนือจากนี้ก็ยังนิยมนำมาใช้ในการลดน้ำหนักด้วย โดยการศึกษาจากมหาวิทยาลัย Tufts พบว่าขมิ้นชั้นที่เป็นเครื่องเทศที่มีฤทธิ์ร้อน จะเข้าไปเพิ่มอุณหภูมิในร่างกาย และทำให้ระบบเผาผลาญทำงานมากขึ้น ส่งผลให้การเผาผลาญไขมันสะสมในร่างกายเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมุนไพรลดน้ําหนัก

9. มะนาว


          ปิดท้ายกันที่สมุนไพรรสเปรี้ยวจี๊ด อย่างมะนาว ที่มีประโยชน์อย่างมากมายต่อการลดน้ำหนักที่การศึกษาซึ่งถูกตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Clinical Biochemistry and Nutrition ปี 2008 พบว่าสารสกัดจากมะนาวและเลมอนสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้ และช่วยป้องกันการสะสมของไขมันในร่างกายที่เป็นสาเหตุของความอ้วน ไม่เพียงเท่านั้น วิตามินซีในมะนาวก็ยังช่วยเพิ่มการเผาผลาญในระหว่างการออกกำลังกายได้ถึง 30% และถ้าอยากให้ได้ผลดียิ่งขึ้นก็ควรจะดื่มน้ำมะนาวอุ่น ๆ ตอนเช้า เพราะจะเป็นการล้างพิษให้ร่างกาย ส่งผลให้น้ำหนักลดลงได้ง่ายกว่าเดิม แถมป้องกันอาการท้องผูกได้อย่างมีประสิทธิภาพ

          สมุนไพรที่หยิบมาแนะนำกันนี้ก็ล้วนแต่หาได้ง่าย ๆ ใกล้ตัวทั้งนั้นเลยใช่ไหมล่ะคะ ถ้าอย่างนั้นก็อย่ารอช้า รีบหามาลิ้มลองกันเลยดีกว่า จะได้มีหุ่นที่สวยและมีสุขภาพดีไปพร้อม ๆ กันค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก
joinultimatehealth  
health  
International Food Research Journal 
prevention  
live strong 

Cr.http://health.kapook.com/view152319.html

สาวกระชับหุ่นเร่งด่วนด้วยอาหารคลีน หวังใส่ชุดเจ้าสาวด้วยรูปร่างที่ลีนให้สวยที่สุด !

รีวิวลดนํ้าหนัก

          อยากใส่ชุดเจ้าสาวสวย ๆ สักครั้งในชีวิตแต่ตัวเองดันมีหุ่นอวบอั๋นจนถึงขั้นเรียกว่าอ้วน เธอเลยต้องลดน้ำหนักเร่งด่วนด้วยอาหารคลีน !

    
          อ้วนมาทั้งปียังไม่ค่อยเดือนร้อนใจ แต่ถ้ายังอ้วนในวันที่ใกล้จะแต่งงานแบบนี้สาว ๆ ทุกคนแทบทนรับสภาพตัวเองไม่ได้กันทั้งนั้นแหละค่ะ ไม่เว้นแม้แต่สาวสวยคนนี้ด้วยเช่นกัน ที่ยอมตัดขาดจากอาหารอร่อยแคลอรีสูงที่ตัวเองชอบ และไลฟ์สไตล์ปาร์ตี้เกิร์ลที่โปรดปราน ไปกินอาหารคลีน  เน้น ๆ และเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ตัวเองเป็นสาวเฮลธ์ตี้ เพียงเพราะอยากจะลดน้ำหนัก ให้สำเร็จเพื่อจะได้สวมชุดเจ้าสาวให้สวยที่สุดก็เท่านั้นเอง ไม่มีอะไรมาก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

          Jelly Devote สาวชาวสวีเดนวัย 26 ปี เป็นคนที่ไม่ได้อ้วนมากเท่าไรค่ะ แต่ก็เรียกได้ว่าอยู่ในขั้นอวบระยะสุดท้าย ตัวบวมไม่น้อยอยู่เหมือนกัน โดยเธอบอกว่าจริง ๆ แล้วเธอไม่ได้เป็นคนอ้วนตั้งแต่เกิด แต่เหตุผลที่ทำให้อ้วนขึ้นจนตัวเกือบแตกเพราะเผลอตัวตามใจปาก และใช้ชีวิตเป็นปาร์ตี้เกิร์ลอยู่พักใหญ่ 
    
          ทว่าจุดเปลี่ยนที่ทำให้เธออยากกลับมาดูแลตัวเองอีกครั้ง นั่นก็เพราะเธอกำลังจะแต่งงาน ! ฉะนั้นปล่อยตัวเองให้ขึ้นอืดแบบนี้ไม่ได้แล้วล่ะ เธอเลยเริ่มต้นลดน้ำหนักอย่างจริงจัง โดยออกสตาร์ทด้วยการกินอาหารคลีนเป็นอันดับแรก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก
รีวิวลดนํ้าหนัก

          ซึ่งนอกจากอาหารคลีนแล้ว จะสังเกตได้ว่า Jelly Devote เน้นกินแต่น้ำเปล่า โดยหากต้องการรสชาติของน้ำเพื่อเพิ่มความสดชื่นสักหน่อย เธอจะฝานเลมอนชิ้นหนา ๆ ใส่ลงไปในแก้วน้ำเปล่าของเธอด้วย ซึ่งเธอก็แอบกระซิบมาค่ะว่า นี่เป็นเคล็ดลับในการลดน้ำหนักที่ดีอย่างหนึ่ง เพราะการกินน้ำเปล่าผสมน้ำมะนาวในตอนเช้า ช่วยเรื่องขับถ่ายดีมาก ๆ เลย อ้อ ! แต่ทั้งวันก็ต้องกินน้ำเปล่ามาก ๆ ด้วยนะ 

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

          หลังจากดำรงตนเป็นสายคลีนมาได้สักพัก น้ำหนักเริ่มลงไปสัก 3 กิโลกรัมเห็นจะได้ เธอก็หันมาออกกำลังกายแทนการออกไปแฮงก์เอาท์กับเพื่อน ๆ โดยเธอจะเน้นเล่นเวทเทรนนิ่งเป็นส่วนใหญ่ เพราะต้องการกระชับรูปร่างและสร้างกล้ามเนื้อลีน ๆ

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

          ทว่า Jelly Devote ก็บอกว่าต้องคาร์ดิโอควบคู่กันไปด้วย เพื่อที่เราจะได้เบิร์นไขมันได้อย่างเต็มที่นั่นเองนะคะ

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

          ในที่สุดความพยายามของสาวคนนี้ก็บังเกิดผล โดยเธอสามารถลดน้ำหนักได้กว่า 20 กิโลกรัม 

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

          นอกจากนี้เธอยังเพิ่มความมั่นใจให้ตัวเองด้วยการศัลยกรรมนิด ๆ หน่อย ๆ จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่า เธอจะสวมชุดเจ้าสาวได้สวยงามที่สุดอย่างที่คาดไว้

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก

รีวิวลดนํ้าหนัก


ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก 
Instagram jellydevote


Cr.http://health.kapook.com/view160605.html

วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

วิตามินซีเสริม กินเพิ่มดีหรือไม่ ช่วยผิวใส ไม่เป็นหวัดจริงหรือ ?

วิตามินซี

          วิตามินซีเสริมดีจริงหรือ อย่างที่เขาว่ากินวิตามินซีเสริมจะช่วยป้องกันหวัด แถมผิวพรรณสดใส เรื่องนี้จริงไหมนะ

          วิตามินซีเม็ดโตที่สาว ๆ ต้องมีติดบ้านไว้หนึ่งกระปุกสำหรับกินเป็นประจำ เราต่างเคยได้ยินประโยชน์ของวิตามินซีกันมานานว่าช่วยเสริมภูมิต้านทานให้แข็งแรง กินแล้วไม่เป็นหวัด ไม่ป่วยง่าย และบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส แต่ในความเป็นจริง เคยนึกสงสัยกันบ้างไหมว่าวิตามินนั้นมีประโยชน์จริงหรือหลอก แล้วเราควรกินวิตามินซีเสริมหรือไม่ Lisa มีคำตอบ

วิตามินซี

เรื่องน่ารู้ของวิตามินซี

          วิตามินซี (หรือกรดแอสคอร์บิก) ถือเป็นวิตามินที่มีความจำเป็นต่อร่างกาย เพราะช่วยให้ร่างกายสามารถเจริญเติบโตได้อย่างเป็นปกติ และเป็นตัวช่วยในการดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีอีกด้วย แต่เนื่องจากร่างกายคนเราไม่สามารถผลิตวิตามินซีได้เองตามธรรมชาติ ฉะนั้น การได้รับวิตามินซีจึงต้องมาจากการบริโภคอาหารเท่านั้น ซึ่งโดยทั่วไปแล้วอาหารที่มีวิตามินซีสูงมักพบในผักและผลไม้เป็นส่วนใหญ่ หากเป็นผลไม้ก็มักเป็นผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว เช่น ส้ม สตรอว์เบอร์รี มะขามเทศ ส่วนผักก็เช่น พริกแดงยักษ์ กะหล่ำดอก ผักโขม มะเขือเทศ และบรอกโคลี ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซีสูง 

          อย่างไรก็ตาม การกินผักสำหรับสาว ๆ บางคนอาจเป็นเรื่องยากสักนิด และหากเป็นคนที่ไม่หลงรักการกินผลไม้ด้วยแล้วยิ่งอาจทำให้เสี่ยงกับการขาดวิตามินซีหรือได้รับในปริมาณที่ไม่เพียงพอในแต่ละวัน เพราะฉะนั้นการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซีจึงถือเป็น อีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยป้องกันไม่ให้ร่างกายขาดวิตามินซีได้ง่าย ๆ

          Mayo Clinic หรือองค์กรที่ให้บริการด้านสุขภาพชั้นนำแห่งสหรัฐอเมริกา ระบุไว้ว่า สำหรับในวัยผู้ใหญ่ควรได้รับวิตามินซีวันละประมาณ 65-90 มิลลิกรัม และไม่ควรเกิน 2,000 มิลลิกรัมต่อวัน ถึงแม้วิตามินซีจะเป็นวิตามินชนิดละลายน้ำ และไม่ถูกเก็บสะสมไว้ในร่างกาย อีกทั้งเมื่อร่างกายได้รับตามินซีในปริมาณที่มากเกินไปก็จะสามารถขับออกมาได้เองทางปัสสาวะ ทว่าผลข้างเคีองที่พบได้ในบางคนเมื่อบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมวิตามินซีจำนวนมากเกินไปนั้นก็คืออาจส่งผลให้เกิดอาการคลื่นไส้, อาเจียน, ท้องบวม, ปวดศีรษะ, นอนไม่หลับ นอกเหนือจากนี้สำหรับผู้ป่วยด้วยโรคนิ่วในไตนั้น แพทย์มักจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการกินวิตามินซีเสริม

วิตามินซีเสริม ป้องกันหวัดได้จริงเหรอ
          แม้ว่าความเชื่อส่วนใหญ่ที่เราได้ยินมาจะกล่าวอ้างว่าวิตามินซีช่วยป้องกันโรคหวัดได้ หรือเมื่อเป็นหวัดให้รีบกินวิตามินซีเสริมเพื่อให้หายจากอาการหวัด แต่จากผลการศึกษาที่ปรากฏกลับพบเพียงว่าการกินวิตามินซีเป็นประจำอย่างเพียงพอมีส่วนช่วยลดความรุนแรงและระยะเวลาในการเป็นไข้หวัดได้เท่านั้น แต่ไม่ได้มีข้อบ่งชี้ที่บอกว่าวิตามินซีจะช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคหวัดขึ้นได้แต่อย่างใด ยกเว้นเสียแต่คุณเป็นคนที่ออกกำลังกายอยู่เป็นประจำ เช่น วิ่งมาราธอน จ๊อกกิ้งยามเช้า ฯลฯ หรือผู้ที่ร่างกายมีภูมิต้านทานแข็งแรงดีอยู่แล้วก็มักมีแนวโน้มของการฟื้นตัวได้เร็วกว่า

วิตามินซี

วิตามินซีดีต่อผิว กินแล้วใสเชื่อได้ไหม

          เป็นที่รู้กันดีว่าวิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยชะลอผิวจากการถูกทำลายด้วยรังสี ความร้อนแสงแดด และสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่สาว ๆ อย่างเรามักต้องเผชิญในชีวิตประจำวัน ซึ่งล้วนแต่ส่งผลให้คอลลาเจนในชั้นผิวถูกทำลาย จึงเป็นสาเหตุให้ผิวแห้งกร้าน มีริ้วรอยและจุดด่างดำเกิดขึ้นได้ง่าย แต่การบริโภควิตามินซีเป็นประจำถือเป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยในการผลิตคอลลาเจนอันเป็นโปรตีนที่มีส่วนช่วยในการเจริญเติบโตของเซลล์และหลอดเลือด ชะลอการเสื่อมโทรมของผิวพรรณหรือการแก่ตัวของเซลล์ อีกทั้งเป็นปราการด่านสำคัญที่คอยป้องกันไม่ให้อนุมูลอิสระเข้าไปทำร้ายเซลล์ที่แข็งแรงภายในร่างกาย นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเพื่อนสาวที่ชอบกินผักและผลไม้เป็นประจำจึงมีผิวที่ดูเปล่งปลั่งผ่องใสอยู่เสมอ ผิวพรรณนุ่มเด้ง สดใส แลดูสุขภาพดี และไม่เหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

          ผลการวิจัยจากมหาวิทยาลัย Maryland Medical Center สหรัฐอเมริกา ระบุว่าการบริโภควิตามินซี ยังช่วยลดอาการผิวไหม้แดดจากการได้รับรังสียูวีบี และป้องกันอาการแสบร้อนของผิวที่อาจเกิดขึ้นในภายหลัง ซึ่งท้ายที่สุดอาจนำไปสู่การเป็นโรคมะเร็งผิวหนัง นอกจากนี้ วิตามินซียังมีคุณสมบัติในการช่วยสมานแผล รวมทั้งเยียวยาหรือซ่อมแซมผิวพรรณที่ชำรุดทรุดโทรมให้กลับมาดูแข็งแรงได้เร็ววัน

วิตามินซีช่วยให้อารมณ์สดชื่น และแจ่มใส

          สังเกตได้ง่าย ๆ หากช่วงไหนที่เรากินผักและผลไม้ ซึ่งอุดมไปด้วยวิตามินซี ร่างกายในช่วงนั้นมักจะสดชื่นเป็นพิเศษ ผลพลอยได้คือเอวลด พุงยุบหน้าท้องแบนเพราะระบบขับถ่ายทำงานได้เป็นปกติ และเมื่อระบบภายในดีก็ย่อมส่งผลต่อจิตใจให้ดีตามไปด้วย
 
          ข้อมูลดังกล่าวสอดคล้องกับการศึกษาของคุณหมอ Brent Bauer แห่ง Mayo Clinic ซึ่งได้ทำการศึกษาผู้ป่วยในโรงพยาบาลแห่งหนึ่ง พบว่าคนไข้ที่ได้รับวิตามินซีในระดับปกติจะมีการปรับปรุงทางด้านอารมณ์ที่ดีขึ้นภายหลังจากกินวิตามินซีอย่างต่อเนื่อง ผลดังกล่าวอธิบายได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างวิตามินซีกับอารมณ์ของคนเรานั้นดูเหมือนจะเป็นเรื่องน่าประหลาดและไม่น่าเป็นไปได้ แต่ก็อาจกล่าวได้ว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ไกลเกินจริง เพราะผู้ที่ขาดวิตามินซีหรือได้รับวิตามินซีไม่เพียงพอต่อความต้องการนั้นจะส่งผลให้รู้สึกเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หรือบางคนมีอาการซึมเศร้า

          อย่างไรก็ตาม วิตามิซีที่ได้จากอาหารนั้นย่อมมีความเป็นธรรมชาติและบริสุทธิ์ที่สุด โดยเฉพาะการกินผักและผลไม้สดที่มีวิตามินซีสูงเป็นประจำทุกวัน แต่หากวันใดที่ร่างกายไม่มีผักและผลไม้ตกถึงท้อง การกินวิตามินซีเสริมก็ถือเป็นทางลัดอย่างหนึ่งที่ช่วยป้องกันภาวะร่างกายขาดวิตามินซี เมื่อรู้อย่างนี้แล้วเห็นที่สาว ๆ อย่างเราควรใส่ใจกับการกินวิตามินซีให้สม่ำเสมอ อย่าได้ขาดกันเลยทีเดียว


ขอขอบคุณข้อมูลจาก


Cr.http://health.kapook.com/view143358.html