วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2561

5 สาเหตุร้ายๆ สร้าง “สิวหัวดำ” ต้องกำจัด!

สิวหัวดำ ตัวร้ายติดท็อป 5 ของปัญหาสิวเลยก็ว่าได้ เจ้าสิวหัวดำนี่เกิดขึ้นจากการที่เรามีรูขุมขนกว้างเกินไป จนน้ำมันหรือสิ่งสกปรกอื่น ๆ เช่น ฝุ่นละออง เครื่องสำอาง ไปอุดตันอยู่ที่ผิว วิธีกำจัดไม่ค่อยยากแบบสิวชนิดอื่น ๆ แต่ก็น่าหงุดหงิดใจอยู่ไม่น้อยแหละ แต่ก่อนที่เราจะรักษา เรามาสังเกตพฤติกรรมตัวเองก่อนว่าเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดสิวหรือไม่ ถ้าใช่ตามนี้รีบปรับเปลี่ยนกันด่วนเลยค่ะ
5-causes-blackheads-to-get-rid-of

1.ไม่ล้างเมคอัพ

กลับมาเหนื่อยแค่ไหนก็ควรฝืนล้างนะคะ เพราะมันเป็นสาเหตุหลัก ๆ ที่ทำให้สิวอุดตัวเลยล่ะ แล้วไม่ใช่แค่เม็ดเดียวแน่นอน นอกจากนี้ยังทำให้เกิดริ้วรอยเพราะผิวไม่ได้หายใจด้วยค่ะ

2.ไม่ล้างมือ

มือเราน่ะต้องล้างบ่อย ๆ นะคะ (แต่อย่าลืมทาครีมบำรุงด้วย) เพราะเราชอบสัมผัสหน้าเป็นประจำใช่ไหมล่ะ เวลาที่มือสกปรกแล้วนำมาสัมผัสผิว ก็ทำให้เกิดสิวน่ะสิ เพราะฉะนั้นการล้างมือสำคัญมากค่ะ

3.รองพื้นคุมมัน

รองพื้นคุมมันเหมาะกับผิวมันโดยเฉพาะ ถ้าใครผิวแห้ง ผิวละเอียด รูขุมขนเล็ก แล้วใช้รองพื้นสูตรนี้ รับรองเกิดสิวอุดตันแน่นอน เพราะผิวจะไม่ได้หายใจเลย เนื่องจากรองพื้นสูตรนี้จะปกปิดรูขุมขนไว้ ซึ่งมันเหมาะกับคนรูขุมขนกว้างค่ะ ดังนั้นเลือกสูตรให้เหมาะกับผิวดีกว่า

4.สครับ

ใครที่สครับผิวแล้วทำความสะอาดเนื้อสครับออกไม่หมด มันอาจหลงเหลือตกค้างทำให้ผิวเป็นสิวอุดตันได้นะคะ โดยเฉพาะสครับเกลือละเอียด ๆ ยิ่งต้องระวังค่ะ

5.กินของมัน

ของมันของทอด หรือของหวานทำให้เกิดสิวอุดตันได้ค่ะ เพราะฉะนั้นต้องเลือกกิน ไม่ใช่ว่าห้ามแต่ถ้ากินบ่อยเกินไปก็จะเกิดปัญหานี้ได้ค่ะ ผักผลไม้นี่แหละที่เป็นมิตรกับผิวอย่างแท้จริง

ลองเช็คกันดูนะคะว่าแต่ละคนมีพฤติกรรมอะไรแบบนี้ไหม ถ้าใช่เราต้องปรับก่อนจะรักษานะคะ เพราะหากรักษาแล้วแต่พฤติกรรมไม่เปลี่ยน สิวต่าง ๆ ก็กลับมาได้ใหม่ค่ะ

Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin-trouble/5-causes-blackheads-to-get-rid-of

ลดใต้ตาคล้ำด้วย “ผงกาแฟ” สูตรนี้ที่ต้องลอง!

กาแฟนอกจากจะทำให้เราตื่น สดชื่นในตอนเช้าแล้ว ในด้านความงามยังมีประโยชน์มากเลยนะคะ วันนี้สดสวยนำสูตรมาส์กกาแฟมาแชร์ต่อ เพราะว่ากาแฟมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยและช่วยให้ความหมองคล้ำใต้ตาดูดีขึ้น แถมกลิ่นของกาแฟยังทำให้เราผ่อนคลายเสียด้วย สูตรนี้ดีขนาดไหนไปลองทำกันเลยค่ะ

ส่วนผสมที่ต้องเตรียม

  • ผงกาแฟอินทรีย์  2 ช้อนโต๊ะ
  • น้ำมันมะพร้าวบริสุทธิ์  2 ช้อนโต๊ะ

reduce-under-the-eyes-with-coffee-powder-2

ขั้นตอนการบำรุง

  1. เตรียมชามผสมส่วนผสมเอาไว้ จากนั้นใส่ผงกาแฟใน 2 ช้อนโต๊ะ และน้ำมันมะพร้าวอีก 2 ช้อนโต๊ะ ผสมให้เข้ากันเป็นเนื้อเดียวกัน
  2. เมื่อได้ส่วนผสมที่ต้องการแล้ว ทำความสะอาดผิวหน้า และนำส่วนผสมที่เตรียมไว้ทาใต้ดวงตา ทิ้งไว้เป็นเวลา 15 นาที
  3. โดยให้นวดบริเวณใต้ตาไปเบา ๆ ประมาณ 5 นาทีก่อน เพื่อช่วยกระตุ้นให้เลือดไหลเวียน และส่วนผสมจะทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วทิ้งไว้ตามเวลาที่บอก
  4. จากนั้นให้ล้างออกให้สะอาด
ถ้ามีเวลาก็สามารถทำได้บ่อย ๆ เพราะกาแฟจะช่วยลดการอักเสบของผิวได้ด้วย หรือถ้าใครอยากจะมาส์กทั้งใบหน้าก็สามารถทำได้ โดยเตรียมส่วนผสมให้เท่ากันทุกสัดส่วนและเพียงพอกับใบหน้า เพียงแค่นี้ผิวก็จะดูดีแล้วค่ะ

Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin/reduce-under-the-eyes-with-coffee-powder

4 ส่วนผสม ใช้เป็นยาแต้มสิวแบบธรรมชาติ

เวลาที่สิวผุดความคิดแรกคืออยากจะบีบมันให้รู้แล้วรู้รอดใช่ไหมล่ะ แต่หยุดความคิดนั้นไว้เถอะค่ะ เพราะมันจะยิ่งทำให้หน้าเราพังไปยาวนาน ทางแก้มีอยู่ว่า เราต้องตาอะไรมาแต้มสิวให้ยุบไปค่ะ ส่วนใหญ่แล้วสาว ๆ ก็จะเลือกยาแต้มสิวที่มีประสิทธิภาพในการทำให้สิวยุบอย่างรวดเร็ว แต่วันนี้สดสวยนำอีกหนึ่งทางเลือกมาบอกต่อ สำหรับคนที่อยากให้สิวยุบและบำรุงผิวไปด้วย ทั้งหมดเป็นสูตรธรรมชาติที่หาได้ง่ายมาก มาลองกันดีกว่าค่ะ
4-ingredients-used-as-natural-acne-scars

1.มะนาว

ในน้ำมะนาวจะมีกรดผลไม้ (AHA) ที่จะสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียและผลัดเซลล์ผิวใหม่ได้ เวลาสิวหายก็จะไม่มีรอยด่างดำตามมาด้วย เพียงแค่บีบน้ำมะนาวใส่ในถ้วยเล็ก ๆ และใช้สำลีชุบน้ำมะนาวเล็กน้อยทาลงบนหัวสิว ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีแล้วค่อยล้างออก โดยให้ทำทุกวันก่อนนอน สิวจะยุบเร็วทันใจแน่นอนค่ะ แต่ขอบอกไว้นิดนึงว่า สูตรนี้ไม่เหมาะกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย หรือผิวบอบบาง เพราะจะยิ่งให้อักเสบรุนแรงได้ค่ะ

2.ทีทรีออยล์

ในทีทรีออยล์มีคุณสมบัติช่วยฆ่าเชื้อแบคทีเรียและเชื้อราได้ ใครที่มักจะเป็นสิวอักเสบแดง ๆ แนะนำให้ใช้สำลีก้อนกลมหรือคอตตอนบัดจุ่มทีทรีออยล์ จากนั้นนำมาแตะ ๆ บริเวณที่เป็นสิวได้เลยค่ะ รับรองสิวยุบแน่นอน

3.แอปเปิ้ลไซเดอร์

แอปเปิ้ลไซเดอร์ หรือน้ำส้มสายชูหมักแอปเปิ้ล สามารถนำมารักษาสิวได้ แค่นำแอปเปิลไซเดอร์มาผสมน้ำในอัตราส่วน 1:3 จากนั้นนำสำลีมาชุบส่วนผสมแล้วแต้มลงไปบนสิว ทิ้งไว้ 10 นาทีค่อยล้างออก หรือจะทิ้งไว้ข้ามคืนก็ได้ค่ะ แต่หลังจากทำแล้วควรบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ตาม เพื่อป้องกันผิวแห้งจนระคายเคืองได้นะคะ

4.ไข่ขาว

ไข่ขาวสามารถนำมารักษาสิวและช่วยในเรื่องของรอยสิวได้ด้วย นำไข่ขาวมาตีให้ฟูขึ้นเป็นวิปฟอง แล้วนำไข่ขาวที่ตีไว้มาแต้มตรงจุดที่เป็นสิวสัก 3-4 ชั้น จากนั้นทิ้งไว้ 20 นาทีแล้วค่อยล้างออกด้วยน้ำอุ่น หลังจากล้างแล้วก็อย่าลืมบำรุงด้วยมอยส์เจอไรเซอร์ตามด้วยนะคะ

สูตรเด็ดจากธรรมชาติทุกสูตรปลอดภัยแน่นอน แต่อาจจะต้องใช้เวลาและความเอาใจใส่มากหน่อย ใครที่อยากได้สูตรธรรมชาติลองนำไปใช้กันได้เลยนะคะ แต่หากใครที่อยากจบในหลอดเดียวสำหรับปัญหาสิว ลองเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลสิว Hiruscar Anti Acne เป็นเจลล์แต้มสิว สารสกัดจาก Allium cepa และสารสกัดจากพืชธรรมชาติหลายชนิด ช่วยดูแลผิวที่มีปัญหาสิวโดยเฉพาะเลยด้วยนะ ช่วยสลายสิ่งอุดตันและลดความมัน ครบมากๆ ต้องลอง
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin-trouble/4-ingredients-used-as-natural-acne-scars

วันอังคารที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2561

ทริคแต่งหน้าให้ติดทน แบบไม่หลุด สำหรับมือใหม่

คนที่แต่งหน้าออกข้างนอกเป็นประจำคงเคยเจอกับปัญหาพอเจออากาศร้อนๆ เหงื่อออกระหว่างวัน เมคอัพก็หลุดเละเลอะไปหมด แถมบางคนพอเหงื่อออกเมคอัพก็เปลี่ยนสีทำให้ผิวดูหมองลงอีกด้วย วันนี้สดสวยเลยมาแนะนำเคล็ดลับล็อกเมคอัพให้อยู่หมัด ลองมาดูเคล็ดลับกันค่ะว่าถ้าแต่งหน้าแล้วเหงื่อออกระหว่างวันจะทำวิธีไหนได้บ้าง
how-to-lock-make-up

ซับด้วยกระดาษทิชชู

เน้นว่าซับออกนะคะ ซับเหงื่อออกไม่ใช่ซับเมคอัพออก เพราะฉะนั้นเราจึงต้องเลือกกระดาษทิชชูที่หนานุ่มงานดี แล้วค่อย ๆ ซับเอาเหงื่อที่ทำให้เมคอัพเลือนออก ไม่ว่าจะเหงื่อออกมาเป็นหยดๆ จนหน้าเปียกชุ่ม หรือแค่ซึมๆ จำไว้เลยว่าห้ามปาด ห้ามถู แล้วผิวก็จะสบายขึ้นค่ะ

สเปรย์น้ำแร่

บางครั้งเวลาเหงื่อออกก็ชอบเกิดปฏิกิริยากับเครื่องสำอางทำให้เมคอัพเปลี่ยนสีดูหน้าหมองๆ ลง ถ้าอยากแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ลองใช้สเปรย์น้ำแร่ฉีดพรมเบาๆ ทิ้งไว้สักพัก แล้วก็ใช้ทิชชูซับออกค่ะ หลังจากทำแล้วจะเหมือนเติมออกซิเจนให้ผิวไปในตัว

เติมเมคอัพ

หลังจากทำตามขั้นตอนทุกอย่างแล้ว ก็อดใจรอให้ผิวหน้าแห้งสนิทก่อน แล้วก็ลงมือเติมเครื่องสำอางทัชอัพลงไปอีกครั้งได้เลยค่ะ เติมเฉพาะจุดที่เลือนก็ได้ เช่นบริเวณหน้าผาก ทีโซน ส่วนใหญ่แล้วบริเวณนี้มักจะถูกเหงื่อและความมันดึงเมคอัพออกไป แตะแป้งลงไปปัดให้พอเนียนๆ แล้วก็ปัดบลัชออนนิดๆ เติมลิปสติกเบาๆ แค่นั้นก็พอแล้วค่ะ

ทำแบบนี้ถือว่าง่ายมากเลยเนอะ แบบนี้เหงื่อออกเมื่อไหร่เราก็ไม่ต้องกังวลเรื่องเมคอัพหลุดแล้วล่ะค่ะ 
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/beauty-tips/how-to-lock-make-up

มั่นใจ! หน้าสดก็ไม่แคร์ เพราะเรามีเคล็ดลับนี้

เคยบ้างไหม ไม่อยากแต่งหน้า เบื่อการแต่งหน้า อยากจะเผยหน้าสดไปไหนต่อไหนแบบไม่แยแสใคร แต่ในความเป็นจริงก็เกิดความกังวล เพราะเราไม่ได้สดแล้วสวยอย่างที่คิด วันนี้สดสวยเลยนำเคล็ดลับการดูแลผิวมาฝาก เพื่อที่สาวๆ จะปล่อยหน้าสดไปไหนต่อไหนได้อย่างสบายใจแบบไม่ต้องพึ่งเมคอัพไงล่ะ มาดูเลยดีกว่าค่ะ
%e0%b8%a1%e0%b8%b1%e0%b9%88%e0%b8%99%e0%b9%83%e0%b8%88-%e0%b8%ab%e0%b8%99%e0%b9%89%e0%b8%b2%e0%b8%aa%e0%b8%94

ล้างและสครับผิวหน้าเป็นประจำ

สำคัญจริงๆ นะเรื่องการทำความสะอาดผิว อันดับแรกต้องล้างหน้าให้สะอาดหมดจด พร้อมกับการสครับผิวหน้าเป็นประจำสัปดาห์ละ 1 ครั้ง เพื่อช่วยผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพให้หลุดออก และเผยผิวใหม่ที่เนียนนุ่ม มีสุขภาพดี

บำรุงผิว

ขั้นตอนต่อไปก็คือการทาครีมบำรุงผิวหน้า เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้แก่ชั้นผิว หรืออาจเลือกครีมไวท์เทนนิ่งเพิ่อเพิ่มความขาวกระจ่างใส หรือมาส์กหน้าด้วยสูตรต่าง ๆ จากธรรมชาติก็ได้ เน้นส่วนผสมที่ช่วยเรื่องความกระจ่างใส เช่น มะขามเปียก มะนาว ฯลฯ เพื่อช่วยลดสิว ริ้วรอย และยังช่วยให้ผิวหน้าดูเปล่งปลั่งสดใสอีกด้วยค่ะ

กำจัดสิวเสี้ยน

หน้าสดทั้งทีใบหน้าก็ต้องเรียบเนียนไร้สิวกวนใจ โดยเฉพาะสิวเสี้ยน สิวหัวดำจุดเล็ก ๆ บนจมูก แถมยังทำให้หน้าขรุขระอีกต่างหาก อาจใช้แผ่นลอกสิวเสี้ยนที่มีขายทั่วไป หรือใช้สูตรธรรมชาติอย่างไข่ขาว ทาบาง ๆ รอจนแห้งแล้วลอกออก ก็ช่วยกำจัดสิวเสี้ยนได้เช่นกันค่ะ

กำจัดรอยคล้ำใต้ตา

ผิวสวยแต่ตาคล้ำก็ไม่ไหวนะ ทางที่ดีควรหาวิธีลดรอยคล้ำใต้ตา ด้วยการทาครีมบำรุง พร้อมทั้งดื่มน้ำเยอะ ๆ ก็จะช่วยลดรอยคล้ำและลดอาการบวมของถุงใต้ตาได้ค่ะ

ริมฝีปากต้องสวย

อาจจะมองว่าไม่เกี่ยวแต่มันเกี่ยวนะคะ ถึงแม้ว่าคุณจะไม่ได้แต่งหน้า แต่ถ้ามีริมฝีปากที่อมชมพูก็จะช่วยทำให้ใบหน้าของสาว ๆ ดูสดใสมีชีวิตชีวาขึ้น ดังนั้นจึงควรหมั่นบำรุงริมฝีปาก พร้อมกับสครับริมฝีปากเป็นประจำ มันจะทำให้หน้าสดเราดูดีขึ้นค่ะ

ถ้าดูแลผิวแบบนี้ได้เป็นประจำทุกวัน ผิวของเราจะสวยเปล่งปลั่งแบบไม่ต้องง้อเมคอัพเลย จะสดแค่ไหนก็ไม่มีใครว่าค่า
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin/มั่นใจ-หน้าสด

สเปรย์น้ำแร่ คุณค่าระหว่างวันที่ขาดไม่ได้

รู้ไหมว่าเดี๋ยวนี้เขาพกพาสเปรย์น้ำแร่ติดตัวกันแล้วนะ ยิ่งไปกว่านั้นรู้ไหมว่านอกจากสเปรย์น้ำแร่จะทำให้ผิวสวยแล้ว ยังมีประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมายเลยล่ะค่ะ ลองมาดูกันเลยว่าสเปรย์น้ำแร่ดีต่อความงามของเราอย่างไรบ้าง
สเปรย์น้ำแร่ คือการเอาน้ำแร่ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ จากธรรมชาติแล้วแต่บริเวณแหล่งกำเนิดของน้ำแร่ชนิดนั้นมาบรรจุขวด  อาจมีส่วนผสมอื่น ๆ เพิ่มขึ้นมาเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีต่อผิว
mineral-spray

เพิ่มความสดชื่นให้กับผิวหน้า

ใครที่ต้องออกไปทำงานกลางแจ้ง หรือต้องเผชิญกับแดดทั้งวันจนมีปัญหากับผิวหน้า ก็สามารถฉีดสเปรย์น้ำแร่ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวได้ และแร่ธาตุต่าง ๆ ในน้ำแร่ จะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวและช่วยชะลอการเสื่อมของเซลล์ผิว ที่เป็นสาเหตุของการมีริ้วรอยได้อีกด้วยค่ะ

เครื่องสำอางติดทน

ประโยชน์ของสเปรย์น้ำแร่ แน่นอนว่าเป็นเรื่องให้ความชุ่มชื้นกับผิวเป็นอันดับแรก และเมื่อมีการแต่งแต้มเครื่องสำอางลงบนใบหน้า ก็จะทำให้เครื่องสำอางเหล่านั้นอยู่ติดทนทานมากกว่าเดิม

กระชับรูขุมขน

เมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าหน้ามันมาก ๆ เราสามารถหยิบสเปรย์น้ำแร่มาพ่นระหว่างวันได้เลย จะทำให้กระชับรูขุมขนและกำจัดสิ่งสกปรกที่ไหลออกมาจากรูขุมขนได้เลย

ช่วยลดปัญหาสิวอักเสบ

สเปรย์น้ำแร่ช่วยลดการอักเสบของสิวได้ค่ะ อาจจะต้องดูแบรนด์ที่มีแร่ธาตุบางอย่างที่จะช่วยลดการอักเสบของสิวลง ซึ่งมันจะช่วยต้านแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิวด้วยค่ะ

ประโยชน์ของสเปรย์น้ำแร่น่าสนใจมากเลยใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นอย่ารอช้า หาสเปรย์น้ำแร่มาพกติดตัวกันไว้ดีกว่าค่ะ
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin/mineral-spray

4 อาหาร นักโภชนาการแนะนำเพิ่มในมื้ออาหารช่วยลดน้ำหนักได้ผล

Julie Upton นักโภชนาการจาก Appetite For Health ได้ให้คำแนะนำเกี่ยวกับอาหารที่เพื่อนๆ ควรเพิ่มลงไปในมื้ออาหารเพื่อเป็นการเริ่มต้นดูแลสุขภาพและลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ ใครกำลังลดน้ำหนักอยู่ไปดูกันเลยว่ามีอะไรบ้างที่ควรเพิ่มเข้าไปในมื้อเพื่อให้การลดน้ำหนักง่ายขึ้นค่ะ

1.ไข่

4-nutritionists-recommend-adding-in-meals-to-help-lose-weight-2
ไข่เป็นอาหารที่สามารถป้องกันโรคเรื้อรังได้ มีสารอาหารที่จำเป็นกว่า 10 ชนิดรวมทั้งธาตุเหล็กธาตุเหล็กวิตามินดีสังกะสีและ lutein มีโปรตีนคุณภาพสูงมากถึง 6 กรัม มีวิตามิน D ธรรมชาติ ช่วยลดภาวะเสี่ยงเป็นโรคมะเร็ง โรคเบาหวาน
ยิ่งไปกว่านั้นการศึกษาหลายชิ้นยังแสดงให้เห็นว่าการทานอาหารเช้าที่อุดมด้วยโปรตีน (20 ถึง 25 กรัมของโปรตีน) เมื่อเทียบกับมื้ออาหารมื้อแรกที่อุดมด้วยคาร์โบไฮเดรตจะช่วยให้เพื่อนๆ อิ่มนานขึ้น ดังนั้นจึงมีแนวโน้มที่จะไม่กินมากเกินไปในตอนกลางวัน ในความเป็นจริงการศึกษาแปดสัปดาห์หนึ่งพบว่า ผู้กินไข่ลดน้ำหนักลง 65% เมื่อเทียบกับผู้ที่รับประทานอาหารเช้าที่มีคาร์โบไฮเดรตที่มีแคลอรี่เหมือนกัน การศึกษาอื่น ๆ แสดงให้เห็นว่าไข่ช่วยยับยั้ง ghrelin ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่กระตุ้นความอยากด้วยนะ

2.ถั่ว

4-nutritionists-recommend-adding-in-meals-to-help-lose-weight-4
เส้นใยจากพืชช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งบางชนิดได้ และก็ช่วยลดน้ำหนักได้ด้วยเหมือนกันนะ ถั่วเป็นแหล่งที่ดีที่สุดของเส้นใยและโปรตีน เรียกว่าทูอินวันเต็มรูปแบบ
ปัจจุบันมีการศึกษาที่ได้รับการเผยแพร่ใน Journal of Human Nutrition and Dietetics พบว่า คนที่มีน้ำหนักเกินกินถั่วสามารถลดน้ำหนักได้มากกว่า 4.5 กิโลกรัมใน 16 สัปดาห์ ทั้งระดับคอเลสเตอรอลในเลือดก็ดีขึ้นด้วย แบบนี้แล้วมื้อเช้าของเพื่อนๆ น่าจะลองเพิ่มถั่วเข้าไปดูนะ

3.พิซตาชิโอ

4-nutritionists-recommend-adding-in-meals-to-help-lose-weight-3
นี่ก็ถั่วเหมือนกัน ส่วนตัวสดสวยชอบมากเพราะอร่อยดี แต่นอกจากความอร่อยแล้วนั้นเจ้าพิซตาชิโอยังเป็นถั่วที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพสูงสุดอีกด้วย โดย FDA เองยังได้รับรองว่าการกินพิซตาชิโอวันละ 1.5 ออนซ์ เป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวและคอเลสเตอรอลต่ำ ลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจ แถมยังมีแคลอรี่ต่ำให้ไฟเบอร์และโปรตีนสูง ใช้กินเป็นของว่างแทนขนมอย่างอื่น ช่วยลดน้ำหนักได้เป็นอย่างดีเลยล่ะ

4.แซลมอน

4-nutritionists-recommend-adding-in-meals-to-help-lose-weight-1
แน่นอนว่าในทะเลมีปลามากมาย แต่ปลาแซลมอนเป็นหนึ่งในนักว่ายน้ำที่มีสุขภาพดีที่สุดในโลก เป็นโปรตีนลีนที่เต็มไปด้วยไขมัน omega-3 ซึ่งช่วยป้องกันการอักเสบและช่วยปกป้องกระดูกด้วย การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่า ในอาหารลดแคลอรี่ผู้ที่กินปลาแซลมอน 3 ครั้งต่อสัปดาห์ ลดน้ำหนักโดยเฉลี่ย 5 กิโลกรัมและมีสัญญาณดีขึ้นสำหรับอาการอักเสบ เปลี่ยนจากหมู เบคอน มาเป็นแซลมอน รับรองเลยว่าหุ่นดีขึ้นแน่นอน

แค่เลือกวัตถุดิบให้เป็น ปรับพฤติกรรม ออกกำลังกาย เพียงไม่กี่ข้อเหล่านี้ก็ช่วยให้เพื่อนๆ ไปถึงเป้าหมายได้เป็นอย่างดีแล้วล่ะค่ะ เริ่ม!
Cr.http://www.healthandtrend.com/slimming/slim-food/4-nutritionists-recommend-adding-in-meals-to-help-lose-weight

วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ล้างหน้าผิดชีวิตพังเพราะสิวผุด หยุดเถอะ!

เวลาแต่งหน้าไม่เคยยั่น แต่ทำไมเวลาล้างเราถึงขี้เกียจได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้เนอะ เครื่องสำอางเดี๋ยวนี้มักจะมีแต่ประเภทติดทนยาวนาน ล้างไม่หลุดอยู่เต็มไปหมดซะด้วย เราก็เลยหาตัวช่วยในการล้างเครื่องสำอางให้หลุดออกแบบง่าย ๆ แต่แน่ใจไหมล่ะว่าวิธีการที่เราทำมันถูกแล้วจริง ๆ สิ่งนี้เป็นทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เราทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีขึ้น และควรหยุดพฤติกรรมผิด ๆ กันดีกว่าค่ะ
how-to-wash-face-for-healthy-skin

ถูอย่างรุนแรง

บางครั้งก็รำเครื่องสำอางที่มันติดแน่นนานเหลือเกิน จนเผลอกระทำรุนแรงกับผิวหน้ามากเกินไป แต่ใจเย็นนะคะ เราต้องถนอมนางหน่อย เพราะไม่เช่นกันยางชิงแก่ริ้วรอยเกิดจะเสียหาย เราแค่ต้องเลือกตัวช่วยในการล้างให้ถูกประเภท ถ้าถูกแล้วก็แทบจะไม่ต้องออกแรงเลยค่ะ

เลือกเมคอัพรีมูฟเวอร์

พวกรีมูฟเวอร์เหล่านี้มีหลายประเภทนะคะ ทั้งแบบน้ำมัน เจล ครีม ถ้าใครผิวแห้งอาจจะเหมาะกับน้ำมันได้ แต่ถ้าผิวมันไม่ควรเด็ดขาดเพราะเดี๋ยวจะยิ่งทำให้ผิวมันมากขึ้น เลือกเป็นแบบเจลทดทนก็ดีค่ะ

คลีนเซอร์ต้องมา

ล้างด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์แล้วไม่ใช่จบนะคะ เราแค่ขจัดสิ่งที่เป็นคราบฝังลึกออกไปได้เท่านั้น แต่ยังคงต้องมีในส่วนของคลีนเซอร์มาช่วยทำความสะอาดผิวอยู่ เพราะฉะนั้นล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์หรือโฟมตบท้ายด้วยค่ะ

รีมูฟเวอร์แผ่น

มันก็สะดวกดี แต่ไม่ได้หมายความว่าขั้นตอนเดียวแล้วล้างน้ำสะอาดได้เลยนะคะ ยังคงต้องมีคลีนเซอร์ตัวอื่น ๆ ช่วยชำระเอาสิ่งสกปรกออกไปอยู่ดี เครื่องสำอางฟังลึกขนาดนั้น เอาออกไม่ง่ายหรอกค่ะ


เห็นไหมล่ะว่าบางอย่างเราก็มองข้ามไปจนอาจก่อให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบเพราะล้างหน้าไม่สะอาดได้ เพราะฉะนั้นหยุดพฤติกรรมแบบนี้แล้วมาล้างหน้าให้ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin-trouble/how-to-wash-face-for-healthy-skin

3 ฮอร์โมนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก

คุณพอจะทราบใช่หรือไม่ว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่ใช้เรื่องที่ง่ายดายเลยยิ่งหากอายุมากขึ้นการลดน้ำหนักก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้นและหากกรณีนั้นเป็นผู้หญิงแน่นอนว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้ช่วงหมดประจำเดือน (ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 45 ปีขึ้นไป) อาจเกิดอาการประมาณว่าร้อนวูบ มีอาการแบบเหงื่อออกในช่วงกลางคืนได้ง่ายและฮอร์โมนที่สำคัญมากที่อาจกลายเป็นตัวเข้าไปทำลายฝันแสนหวานของสาว ๆ มีด้วยกันหลายฮอร์โมน มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีฮอร์โมนอะไรบ้าง
3-major-hormones-related-to-weight-loss2

1.ฮอร์โมนเอสโตรเจน 

ฮอร์โมนนี้เป็นฮอร์โมนที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ฮอร์โมนเพศหญิง”  การที่คนเรานั้นมีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าเกณฑ์มักจะมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงมาจากตัวฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งฮอร์โมนนี้จะเกิดขึ้นที่บริเวณรังไข่และคอยทำหน้าที่ในการกักเก็บปริมาณไขมันได้เช่นกันยิ่งหากคุณมีฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยเท่าใดไขมันก็จะยิ่งไปสะสมตามส่วนของสะโพก ส่วนของต้นขาได้มากยิ่งขึ้น

2.ฮอร์โมนคอร์ติซอล 

หรือฮอร์โมนความโกรธนั้นในเรื่องของระดับความเครียดนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้พร้อมกับการกระจายพวกไขมันที่อยู่ในหน้าท้อง ระดับของคอร์ติซอลนั้นจะยิ่งเพิ่มได้หากมีความเครียดเกิดขึ้น  เมื่อเครียดก็ยิ่งอยากทานอาหารมากขึ้นไปอีก นั่นจึงทำให้หลายครั้งเราพบว่าใครก็ตามที่มีโรคเครียดมักจะมีระดับของอินซูลินเพิ่มมากกว่าทั่วไป เมื่อเครียดก็เลยยิ่งลดน้ำหนักได้ยากเหลือเกิน นอกจากนี้ตัวฮอร์โมนตัวนี้ยังส่งผลทำให้ระดับของอินซูลินค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นซึ่งนั่นก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในเลือดลดต่ำลง เมื่อลดต่ำก็เลยส่งผลทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นอีก

3.ฮอร์โมนเลปติน 

หรือฮอร์โมนเกี่ยวกับความอิ่ม ฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาโดยเซลล์ไขมันที่อยู่ภายในร่างกาย สำหรับเป้าหมายแรกก็คืออยู่ที่ส่วนของสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนของไฮโปทาลามัส ตัวเลปตินั้นจะทำการเลือกส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อแจ้งว่าขณะนี้ร่างกายกำลังมีปริมาณของไขมันสะสมที่เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องทานอีกนั่นก็เพื่อทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญแคลอรีให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่เหมาะสม อยู่ในอัตราที่ปกติ

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ควรใส่ใจกับฮอร์โมนเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมานั่นเอง
Cr.http://www.healthandtrend.com/slimming/diet/3-major-hormones-related-to-weight-loss

ผลการศึกษาเผย 28-32 ปี คือช่วงอายุดีสุดที่จะแต่งงาน

ในบทความนี้เฮียอาจจะขอนอกเรื่องของสุขภาพสักเล็กน้อย แต่เฮียเห็นว่าน่าสนใจเลยอยากบอกกล่าวให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านกันดู สำหรับเรื่องของ

“การแต่งงาน”

ถ้าให้เราลองมองเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน หลายคนอาจเจอสภาพที่ว่า เราโสด เพื่อนก็ยังโสด คนใกล้ตัวมีแต่คนโสด อย่างตัวเฮียเองในกลุ่มเพื่อนก็มีเพื่อนที่แต่งงานแล้วไปแค่ 3 ใน 10 เท่านั้นครับ แต่ถึงอย่างนั้น หลายคนคงเคยสงสัยว่า เอ… แล้วช่วงอายุขนาดไหนที่เหมาะที่สุดสำหรับการเลิกโสดแล้วมีครอบครัวสักที บทความนี้เฮียมีคำตอบมาฝากกันครับ
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเราควรแต่งงานระหว่างอายุ 28 ถึง 32 ปีหากไม่ต้องการหย่าร้างในห้าปีแรก

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? แล้วถ้าตอนนี้ฉันเกินแล้วล่ะ?

perfect-age-to-get-married
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายครับ เพราะมันแค่เรื่องของสถิติเท่านั้น จากการศึกษาและการวิเคราะห์โดย Nicholas H. Wolfinger นักสังคมวิทยาที่ University of Utah และเผยแพร่โดยสถาบัน Pro-marriage สำหรับการศึกษาครอบครัว แสดงให้เห็นว่าคนที่แต่งงานระหว่าง 28 และ 32 จะมีโอกาสหย่าร้างน้อยในช่วงปีต่อๆ มาของชีวิตแต่งงาน
คุณ Wolfinger ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากช่วงปี 2006-2010 และ 2011-2013 จาก National Survey of Family Growth เขาพบว่า
อัตราการหย่าร้างในช่วงอายุ 20 ตอนปลาย ถึง 30 ปีตอนต้นนั้นมีน้อย แต่กลับพบการหย่าร้างที่มากขึ้นหลังช่วงอายยุ 32 ปี ซึ่งมีมากกว่า 5% เลยทีเดียว
marrage-age-divorce-risk-as-of-2011-13-0-order
ที่มาภาพ: Replicating the Goldilocks Theory of Marriage and Divorce
ซึ่งก็มีหลายเหตุผลนะที่ช่วงอายุดังกล่าวจะเป็นช่วงอายุที่ดีในการเริ่มต้นความสัมพันธ์อันยาวนาน หรือการใช้ชีวิตแต่งงานกับใครสักคน เพราะว่าในช่วงอายุนี้มีวุฒิภาวะมากพอที่จะเข้าใจว่าอะไรดีต่อความสัมพันธ์ และมักไม่รักโดยไม่ใช้เหตุผล ในกลุ่มอายุนี้จะมีตัวเลือกที่ดีมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งยังมีฐานะที่พอต่อการสนับสนุนความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน
แต่ทั้งหมดนั้นก็อย่างที่เฮียได้บอกไปครับว่ามันเป็นเพียงสถิติเท่านั้น ไม่มีตัวบ่งชี้แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วอายุเท่าไหร่จึงจะแต่งงานแล้วผลลัพธ์ออกมาดี มีความสัมพันธ์ที่ดี สิ่งสำคัญอยู่ที่คนสองคนหมั่นเติมใจให้กันต่อไปได้นานแค่ไหนครับ
ใกล้จะวาเลนไทน์แล้ว ขอให้ความรักคุ้มครองเพื่อนๆ ชาว HealthandTrend.com ทุกคนนะครับ :)
Cr.http://www.healthandtrend.com/healthy/healthy-tips/perfect-age-to-get-married

10 ไอเดียเมคอัพชมพูใสๆ สำหรับวันสบายๆ

อัพเดตความหวาน แน่นอนว่าจะเป็นอะไรไม่ได้ที่จะช่วยสร้างเสน่ห์ให้สาว ๆ นอกจากเมคอัพ ซึ่งสีชมพูนี่แหละที่โดนใจหนุ่ม ๆ เขามากที่สุด แต่เราต้องแต่งให้ดูเป็นธรรมชาตินะ ริมฝีปากชมพูระเรื่อ พวงแก้มชมพูบาง ๆ เหมือนสาววัยรุ่น เพียงเท่านี้หนุ่ม ๆ เขาก็ชอบแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าเข้มกันเลย ลองมาดูไอเดียใส ๆ แบบนี้เป็นแรงบันดาลใจกันเลยค่ะ
nude-pink-make-up-1nude-pink-make-up-2nude-pink-make-up-3nude-pink-make-up-4nude-pink-make-up-5nude-pink-make-up-6nude-pink-make-up-7nude-pink-make-up-8nude-pink-make-up-9nude-pink-make-up-10
ชอบลุคไหนกันบ้างคะ สวย ๆ หวาน ๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ สดใสแบบนี้รับรองโชคดีในความรักแน่นอนค่ะ ^^
ที่มาภาพ: Pinterest.com
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/beauty-tips/nude-pink-make-up

วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

4 เรื่องใกล้ตัวที่ทำให้เราลดน้ำหนักไม่สำเร็จ

ในปีที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่าเป็นปีของเทรนด์รักสุขภาพที่แท้จริง หลายคนทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อให้ได้มาทั้งหุ่นและสุขภาพที่ดีขึ้น ส่วนอีกหลายคนก็ยังพยายามอยู่ แม้ว่าจะลดได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตาม เราจึงได้รวบรวมปัจจัยหลาย ๆ ประเภท ที่มีส่วนทำให้การลดน้ำหนักไม่สำเร็จเสียที มาให้อ่านกัน จะได้ไขคำตอบว่า ทำไมออกกำลังกายมาเป็นปี ๆ ควบคุมอาหารแบบดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังไม่ได้ร่างกายตามที่ต้องการ
4-stories-close-to-us-that-we-failed-to-lose-weight

1.แพ้กลูเต็น

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่า มีอาการแพ้กลูเต็นในข้าวสาลี ที่ทำให้อาหารไม่ย่อย ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องบวม และทำให้น้ำหนักพุ่งมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยความที่อาหารเพื่อสุขภาพบางชนิดมีส่วนประกอบของแป้งสาลีในปริมาณมาก จึงกลายเป็นว่ายิ่งทานก็ยิ่งอ้วนขึ้น และระบบย่อยอาหารก็มีปัญหามากขึ้นกว่าเดิม

2.ครอบครัวตัวอ้วน

พันธุกรรมเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้คุณเป็นโรคอ้วน หรือมีไขมันในร่างกายได้ง่าย และถ้าหากคุณมีพันธุกรรมของโรคอ้วนอยู่ในตัว แต่ต้องการที่จะลดน้ำหนักแบบจริงจัง คุณควรมีความพยายามเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า ก็จะช่วยให้มีหุ่นที่เฟิร์ม สุขภาพดีแล้ว

3.ไม่ยอมเปลี่ยนท่าออกกำลังกาย

ในร่างกายของคนเรานั้น มีกล้ามเนื้อหลายมัดด้วยกัน การที่จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงจนทำให้หุ่นดีกว่าเดิม ต้องมีการบริหารกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนไปพร้อมกัน หากคุณเลือกออกกำลังกายแต่ท่าที่ตัวเองต้องการ สุดท้ายกล้ามเนื้อก็จะจดจำแล้วก็จะไม่มีการพัฒนาอะไรอีกเลย การเผาผลาญพลังงานก็เช่นกัน ถ้าเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าต้องหาโปรแกรมออกกำลังกายที่แตกต่างได้จากที่ไหน ลองเแวะเข้าไปเลือกได้ที่นี่เลยค่ะ ฟิตแอนด์เฟิร์ม

4.พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนที่ดี จะทำให้ร่างกายมีการหลั่ง Growth Hormones ออกมาเพื่อซ่อมแซมร่างกายตัวเองในช่วงกลางคืน และยังจะมีฮอร์โมนเกรลินที่ช่วยควบคุมความหิวหลั่งออกมาอีกด้วย ยิ่งนอนดึกเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกอ่อนเพลียและหิวมากขึ้น เป็นเหตุให้เราต้องรีบหาอะไรทานจนกลายเป็นน้ำหนักขึ้นมากกว่าเดิม

หากนี่คือปัจจัยหลักที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่สำเร็จสักที ก็ลองทำตามกันดู แล้วคุณจะมีหุ่นสวยได้ไม่ยากอย่างแน่นอน
Cr.http://www.healthandtrend.com/slimming/diet/4-stories-close-to-us-that-we-failed-to-lose-weight

เป่าผมอย่างไรให้ไม่เสีย แถมอยู่ทรงสวย

สาวๆ ส่วนใหญ่ที่ชอบเซ็ทผมมักจะกังวลกับปัญหาการเป่าผมด้วยความร้อนแล้วผมเสียกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราเป่าผมอย่างถูกวิธี ผมก็จะสวยไม่ชี้ฟู แถมยังดูดีอีกด้วยนะ ลองดูเคล็ดลับนี้ไปพร้อมๆ กับสดสวยเลยค่ะ
how-to-dry-the-hair-to-save-the-hair

ใช้ผ้าขนหนูช่วย

หลังจากสระผมเสร็จใหม่ ๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูซับผมเบา ๆ ให้พอหมาด และถ้าอยากให้ผมแห้งเร็ว แนะนำว่าให้นำผ้าขนหนูผืนแห้งอีกผืนมาคลุมผมอีกชั้น แล้วใช้ไดร์เป่าลงที่ผ้าขนหนู ซึ่งวิธีใช้ผ้าคลุมผมนี้ จะช่วยให้ผมไม่โดนความร้อนโดยตรงจากไดร์เป่าผม อีกทั้งผ้าขนหนูยังช่วยซับน้ำและกระจายความร้อนให้ทั่วศีรษะ จึงทำให้ผมแห้งเร็วขึ้น แถมยังไม่ทำให้ผมแห้งเสียและไม่แตกปลายอีกด้วยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ปกป้องผม

ก่อนที่สาว ๆ จะไดร์ผม หรือใช้อุปกรณ์จัดแต่งทรงผมที่ต้องใช้ความร้อน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อน เช่น สเปรย์กันความร้อน ครีมหรือน้ำยาป้องกันความร้อน ช่วยทำให้ผมไม่แห้งเสีย เปราะบางและขาดหลุดร่วงง่ายค่ะ

เลือกแปรงดีๆ

การเป่าผมต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมช่วยด้วยนะคะ นั่นก็คือแปรงหวีผมนั่นเอง ควรเลือกแปรงแบบกลม ที่ทำมาจากขนหมู เพราะจะช่วยรักษาเกล็ดผมทำให้ผมเงางาม ไม่เสียง่าย อย่าใช้แปรงที่เป็นเหล็กเพราะจะยิ่งสะสมความร้อน เวลาดึงผมจะทำให้เกล็ดผมเสียหายได้ค่ะ

แบ่งผมออกเป็นช่อ ๆ

แบ่งผมออกเป็นช่อ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดทรง ซึ่งการแบ่งผมนี้จะช่วยให้เป่าผมได้แห้งสนิททั่วทั้งศีรษะ ทั้งยังง่ายต่อการจัดทรงผมอีกด้วยนะคะ

เป่าผมในแนวดิ่ง

การเป่าผมที่ดีควรเป่าผมในแนวดิ่งจากด้านบนลงด้านล่าง ตั้งแต่โคนผมลงไปถึงปลายผม จะทำให้เส้นผมดูเรียบตรง เงางาม และดูเป็นธรรมชาติ แต่ควรเว้นระยะระหว่างไดร์เป่าผมกับศีรษะให้พอดีประมาณ 15 เซนติเมตร ไม่ควรจ่อไดร์ใกล้ศีรษะเกินไป เพราะเส้นผมจะโดนความร้อนที่มากเกินไป อาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและผมแห้งเสียได้ค่ะ

ใช้ลมเย็นเป่าผม

หลังจากเป่าผมด้วยลมร้อนจนผมแห้งและได้ทรงสวยดีแล้ว ให้เปลี่ยนมาใช้ลมเย็นเป่าผมอีกครั้ง (ถ้าไดร์ของคุณมีลมเย็น) เป่าประมาณ 10 วินาที พร้อมใช้มือขยี้โคนผมให้ทั่วศีรษะ เพื่อให้เส้นผมดูสลวยสวยเป็นธรรมชาติ ทั้งยังเป็นการปิดเกล็ดผมชั้นนอก ซึ่งช่วยให้ผมดูเงางามด้วยค่ะ

ได้เคล็ดลับดีๆ กันไปแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ เคล็ดลับนี้เหมาะกับสาวผมตรงที่ชอบเป่าผมเองไม่ชอบไปร้านทำผม มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ

Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/beauty-tips/how-to-dry-the-hair-to-save-the-hair