วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ล้างหน้าผิดชีวิตพังเพราะสิวผุด หยุดเถอะ!

เวลาแต่งหน้าไม่เคยยั่น แต่ทำไมเวลาล้างเราถึงขี้เกียจได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้เนอะ เครื่องสำอางเดี๋ยวนี้มักจะมีแต่ประเภทติดทนยาวนาน ล้างไม่หลุดอยู่เต็มไปหมดซะด้วย เราก็เลยหาตัวช่วยในการล้างเครื่องสำอางให้หลุดออกแบบง่าย ๆ แต่แน่ใจไหมล่ะว่าวิธีการที่เราทำมันถูกแล้วจริง ๆ สิ่งนี้เป็นทริคเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ช่วยให้เราทำความสะอาดผิวหน้าได้ดีขึ้น และควรหยุดพฤติกรรมผิด ๆ กันดีกว่าค่ะ
how-to-wash-face-for-healthy-skin

ถูอย่างรุนแรง

บางครั้งก็รำเครื่องสำอางที่มันติดแน่นนานเหลือเกิน จนเผลอกระทำรุนแรงกับผิวหน้ามากเกินไป แต่ใจเย็นนะคะ เราต้องถนอมนางหน่อย เพราะไม่เช่นกันยางชิงแก่ริ้วรอยเกิดจะเสียหาย เราแค่ต้องเลือกตัวช่วยในการล้างให้ถูกประเภท ถ้าถูกแล้วก็แทบจะไม่ต้องออกแรงเลยค่ะ

เลือกเมคอัพรีมูฟเวอร์

พวกรีมูฟเวอร์เหล่านี้มีหลายประเภทนะคะ ทั้งแบบน้ำมัน เจล ครีม ถ้าใครผิวแห้งอาจจะเหมาะกับน้ำมันได้ แต่ถ้าผิวมันไม่ควรเด็ดขาดเพราะเดี๋ยวจะยิ่งทำให้ผิวมันมากขึ้น เลือกเป็นแบบเจลทดทนก็ดีค่ะ

คลีนเซอร์ต้องมา

ล้างด้วยเมคอัพรีมูฟเวอร์แล้วไม่ใช่จบนะคะ เราแค่ขจัดสิ่งที่เป็นคราบฝังลึกออกไปได้เท่านั้น แต่ยังคงต้องมีในส่วนของคลีนเซอร์มาช่วยทำความสะอาดผิวอยู่ เพราะฉะนั้นล้างหน้าด้วยคลีนเซอร์หรือโฟมตบท้ายด้วยค่ะ

รีมูฟเวอร์แผ่น

มันก็สะดวกดี แต่ไม่ได้หมายความว่าขั้นตอนเดียวแล้วล้างน้ำสะอาดได้เลยนะคะ ยังคงต้องมีคลีนเซอร์ตัวอื่น ๆ ช่วยชำระเอาสิ่งสกปรกออกไปอยู่ดี เครื่องสำอางฟังลึกขนาดนั้น เอาออกไม่ง่ายหรอกค่ะ


เห็นไหมล่ะว่าบางอย่างเราก็มองข้ามไปจนอาจก่อให้เกิดสิวอุดตันหรือสิวอักเสบเพราะล้างหน้าไม่สะอาดได้ เพราะฉะนั้นหยุดพฤติกรรมแบบนี้แล้วมาล้างหน้าให้ถูกวิธีกันดีกว่าค่ะ
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin-trouble/how-to-wash-face-for-healthy-skin

3 ฮอร์โมนสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการลดน้ำหนัก

คุณพอจะทราบใช่หรือไม่ว่าการลดน้ำหนักนั้นไม่ใช้เรื่องที่ง่ายดายเลยยิ่งหากอายุมากขึ้นการลดน้ำหนักก็จะยิ่งยากมากขึ้นเท่านั้นและหากกรณีนั้นเป็นผู้หญิงแน่นอนว่าใครก็ตามที่เข้าใกล้ช่วงหมดประจำเดือน (ทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 45 ปีขึ้นไป) อาจเกิดอาการประมาณว่าร้อนวูบ มีอาการแบบเหงื่อออกในช่วงกลางคืนได้ง่ายและฮอร์โมนที่สำคัญมากที่อาจกลายเป็นตัวเข้าไปทำลายฝันแสนหวานของสาว ๆ มีด้วยกันหลายฮอร์โมน มาดูกันเลยดีกว่าว่ามีฮอร์โมนอะไรบ้าง
3-major-hormones-related-to-weight-loss2

1.ฮอร์โมนเอสโตรเจน 

ฮอร์โมนนี้เป็นฮอร์โมนที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ “ฮอร์โมนเพศหญิง”  การที่คนเรานั้นมีน้ำหนักตัวมากเกินกว่าเกณฑ์มักจะมีปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบโดยตรงมาจากตัวฮอร์โมนเอสโตรเจนซึ่งฮอร์โมนนี้จะเกิดขึ้นที่บริเวณรังไข่และคอยทำหน้าที่ในการกักเก็บปริมาณไขมันได้เช่นกันยิ่งหากคุณมีฮอร์โมนเอสโตรเจนน้อยเท่าใดไขมันก็จะยิ่งไปสะสมตามส่วนของสะโพก ส่วนของต้นขาได้มากยิ่งขึ้น

2.ฮอร์โมนคอร์ติซอล 

หรือฮอร์โมนความโกรธนั้นในเรื่องของระดับความเครียดนั้นสามารถเพิ่มขึ้นได้พร้อมกับการกระจายพวกไขมันที่อยู่ในหน้าท้อง ระดับของคอร์ติซอลนั้นจะยิ่งเพิ่มได้หากมีความเครียดเกิดขึ้น  เมื่อเครียดก็ยิ่งอยากทานอาหารมากขึ้นไปอีก นั่นจึงทำให้หลายครั้งเราพบว่าใครก็ตามที่มีโรคเครียดมักจะมีระดับของอินซูลินเพิ่มมากกว่าทั่วไป เมื่อเครียดก็เลยยิ่งลดน้ำหนักได้ยากเหลือเกิน นอกจากนี้ตัวฮอร์โมนตัวนี้ยังส่งผลทำให้ระดับของอินซูลินค่อย ๆ เพิ่มสูงขึ้นซึ่งนั่นก็เลยเป็นเหตุที่ทำให้น้ำตาลที่อยู่ในเลือดลดต่ำลง เมื่อลดต่ำก็เลยส่งผลทำให้รู้สึกหิวมากขึ้นอีก

3.ฮอร์โมนเลปติน 

หรือฮอร์โมนเกี่ยวกับความอิ่ม ฮอร์โมนตัวนี้เป็นฮอร์โมนที่สร้างขึ้นมาโดยเซลล์ไขมันที่อยู่ภายในร่างกาย สำหรับเป้าหมายแรกก็คืออยู่ที่ส่วนของสมองโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนของไฮโปทาลามัส ตัวเลปตินั้นจะทำการเลือกส่งสัญญาณไปยังสมองเพื่อแจ้งว่าขณะนี้ร่างกายกำลังมีปริมาณของไขมันสะสมที่เพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องทานอีกนั่นก็เพื่อทำให้ร่างกายเกิดการเผาผลาญแคลอรีให้เป็นไปตามเกณฑ์ที่เหมาะสม อยู่ในอัตราที่ปกติ

เมื่อรู้แบบนี้แล้ว ก็ควรใส่ใจกับฮอร์โมนเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อจะได้ไม่เกิดปัญหาต่อสุขภาพตามมานั่นเอง
Cr.http://www.healthandtrend.com/slimming/diet/3-major-hormones-related-to-weight-loss

ผลการศึกษาเผย 28-32 ปี คือช่วงอายุดีสุดที่จะแต่งงาน

ในบทความนี้เฮียอาจจะขอนอกเรื่องของสุขภาพสักเล็กน้อย แต่เฮียเห็นว่าน่าสนใจเลยอยากบอกกล่าวให้เพื่อนๆ ได้ลองอ่านกันดู สำหรับเรื่องของ

“การแต่งงาน”

ถ้าให้เราลองมองเพื่อนร่วมรุ่นเดียวกัน หลายคนอาจเจอสภาพที่ว่า เราโสด เพื่อนก็ยังโสด คนใกล้ตัวมีแต่คนโสด อย่างตัวเฮียเองในกลุ่มเพื่อนก็มีเพื่อนที่แต่งงานแล้วไปแค่ 3 ใน 10 เท่านั้นครับ แต่ถึงอย่างนั้น หลายคนคงเคยสงสัยว่า เอ… แล้วช่วงอายุขนาดไหนที่เหมาะที่สุดสำหรับการเลิกโสดแล้วมีครอบครัวสักที บทความนี้เฮียมีคำตอบมาฝากกันครับ
ผลการศึกษาชี้ให้เห็นว่าเราควรแต่งงานระหว่างอายุ 28 ถึง 32 ปีหากไม่ต้องการหย่าร้างในห้าปีแรก

ทำไมถึงเป็นแบบนั้นล่ะ? แล้วถ้าตอนนี้ฉันเกินแล้วล่ะ?

perfect-age-to-get-married
อย่าเพิ่งตีโพยตีพายครับ เพราะมันแค่เรื่องของสถิติเท่านั้น จากการศึกษาและการวิเคราะห์โดย Nicholas H. Wolfinger นักสังคมวิทยาที่ University of Utah และเผยแพร่โดยสถาบัน Pro-marriage สำหรับการศึกษาครอบครัว แสดงให้เห็นว่าคนที่แต่งงานระหว่าง 28 และ 32 จะมีโอกาสหย่าร้างน้อยในช่วงปีต่อๆ มาของชีวิตแต่งงาน
คุณ Wolfinger ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลจากช่วงปี 2006-2010 และ 2011-2013 จาก National Survey of Family Growth เขาพบว่า
อัตราการหย่าร้างในช่วงอายุ 20 ตอนปลาย ถึง 30 ปีตอนต้นนั้นมีน้อย แต่กลับพบการหย่าร้างที่มากขึ้นหลังช่วงอายยุ 32 ปี ซึ่งมีมากกว่า 5% เลยทีเดียว
marrage-age-divorce-risk-as-of-2011-13-0-order
ที่มาภาพ: Replicating the Goldilocks Theory of Marriage and Divorce
ซึ่งก็มีหลายเหตุผลนะที่ช่วงอายุดังกล่าวจะเป็นช่วงอายุที่ดีในการเริ่มต้นความสัมพันธ์อันยาวนาน หรือการใช้ชีวิตแต่งงานกับใครสักคน เพราะว่าในช่วงอายุนี้มีวุฒิภาวะมากพอที่จะเข้าใจว่าอะไรดีต่อความสัมพันธ์ และมักไม่รักโดยไม่ใช้เหตุผล ในกลุ่มอายุนี้จะมีตัวเลือกที่ดีมากขึ้น มีความรับผิดชอบมากขึ้น ทั้งยังมีฐานะที่พอต่อการสนับสนุนความสัมพันธ์เช่นเดียวกัน
แต่ทั้งหมดนั้นก็อย่างที่เฮียได้บอกไปครับว่ามันเป็นเพียงสถิติเท่านั้น ไม่มีตัวบ่งชี้แน่ชัดว่า แท้จริงแล้วอายุเท่าไหร่จึงจะแต่งงานแล้วผลลัพธ์ออกมาดี มีความสัมพันธ์ที่ดี สิ่งสำคัญอยู่ที่คนสองคนหมั่นเติมใจให้กันต่อไปได้นานแค่ไหนครับ
ใกล้จะวาเลนไทน์แล้ว ขอให้ความรักคุ้มครองเพื่อนๆ ชาว HealthandTrend.com ทุกคนนะครับ :)
Cr.http://www.healthandtrend.com/healthy/healthy-tips/perfect-age-to-get-married

10 ไอเดียเมคอัพชมพูใสๆ สำหรับวันสบายๆ

อัพเดตความหวาน แน่นอนว่าจะเป็นอะไรไม่ได้ที่จะช่วยสร้างเสน่ห์ให้สาว ๆ นอกจากเมคอัพ ซึ่งสีชมพูนี่แหละที่โดนใจหนุ่ม ๆ เขามากที่สุด แต่เราต้องแต่งให้ดูเป็นธรรมชาตินะ ริมฝีปากชมพูระเรื่อ พวงแก้มชมพูบาง ๆ เหมือนสาววัยรุ่น เพียงเท่านี้หนุ่ม ๆ เขาก็ชอบแล้วล่ะ ไม่จำเป็นต้องแต่งหน้าเข้มกันเลย ลองมาดูไอเดียใส ๆ แบบนี้เป็นแรงบันดาลใจกันเลยค่ะ
nude-pink-make-up-1nude-pink-make-up-2nude-pink-make-up-3nude-pink-make-up-4nude-pink-make-up-5nude-pink-make-up-6nude-pink-make-up-7nude-pink-make-up-8nude-pink-make-up-9nude-pink-make-up-10
ชอบลุคไหนกันบ้างคะ สวย ๆ หวาน ๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ สดใสแบบนี้รับรองโชคดีในความรักแน่นอนค่ะ ^^
ที่มาภาพ: Pinterest.com
Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/beauty-tips/nude-pink-make-up

วันพุธที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

4 เรื่องใกล้ตัวที่ทำให้เราลดน้ำหนักไม่สำเร็จ

ในปีที่ผ่านมานั้น เรียกได้ว่าเป็นปีของเทรนด์รักสุขภาพที่แท้จริง หลายคนทุ่มเททั้งกายและใจเพื่อให้ได้มาทั้งหุ่นและสุขภาพที่ดีขึ้น ส่วนอีกหลายคนก็ยังพยายามอยู่ แม้ว่าจะลดได้บ้าง ไม่ได้บ้างก็ตาม เราจึงได้รวบรวมปัจจัยหลาย ๆ ประเภท ที่มีส่วนทำให้การลดน้ำหนักไม่สำเร็จเสียที มาให้อ่านกัน จะได้ไขคำตอบว่า ทำไมออกกำลังกายมาเป็นปี ๆ ควบคุมอาหารแบบดีเยี่ยมแล้ว ก็ยังไม่ได้ร่างกายตามที่ต้องการ
4-stories-close-to-us-that-we-failed-to-lose-weight

1.แพ้กลูเต็น

หลายคนอาจจะไม่เคยรู้ตัวเองเลยว่า มีอาการแพ้กลูเต็นในข้าวสาลี ที่ทำให้อาหารไม่ย่อย ส่งผลให้เกิดอาการท้องอืด ท้องบวม และทำให้น้ำหนักพุ่งมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยความที่อาหารเพื่อสุขภาพบางชนิดมีส่วนประกอบของแป้งสาลีในปริมาณมาก จึงกลายเป็นว่ายิ่งทานก็ยิ่งอ้วนขึ้น และระบบย่อยอาหารก็มีปัญหามากขึ้นกว่าเดิม

2.ครอบครัวตัวอ้วน

พันธุกรรมเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะทำให้คุณเป็นโรคอ้วน หรือมีไขมันในร่างกายได้ง่าย และถ้าหากคุณมีพันธุกรรมของโรคอ้วนอยู่ในตัว แต่ต้องการที่จะลดน้ำหนักแบบจริงจัง คุณควรมีความพยายามเพิ่มมากขึ้นเป็น 2 เท่า ก็จะช่วยให้มีหุ่นที่เฟิร์ม สุขภาพดีแล้ว

3.ไม่ยอมเปลี่ยนท่าออกกำลังกาย

ในร่างกายของคนเรานั้น มีกล้ามเนื้อหลายมัดด้วยกัน การที่จะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรงจนทำให้หุ่นดีกว่าเดิม ต้องมีการบริหารกล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วนไปพร้อมกัน หากคุณเลือกออกกำลังกายแต่ท่าที่ตัวเองต้องการ สุดท้ายกล้ามเนื้อก็จะจดจำแล้วก็จะไม่มีการพัฒนาอะไรอีกเลย การเผาผลาญพลังงานก็เช่นกัน ถ้าเพื่อนๆ ไม่รู้ว่าต้องหาโปรแกรมออกกำลังกายที่แตกต่างได้จากที่ไหน ลองเแวะเข้าไปเลือกได้ที่นี่เลยค่ะ ฟิตแอนด์เฟิร์ม

4.พักผ่อนไม่เพียงพอ

การพักผ่อนที่ดี จะทำให้ร่างกายมีการหลั่ง Growth Hormones ออกมาเพื่อซ่อมแซมร่างกายตัวเองในช่วงกลางคืน และยังจะมีฮอร์โมนเกรลินที่ช่วยควบคุมความหิวหลั่งออกมาอีกด้วย ยิ่งนอนดึกเท่าไร ก็จะยิ่งรู้สึกอ่อนเพลียและหิวมากขึ้น เป็นเหตุให้เราต้องรีบหาอะไรทานจนกลายเป็นน้ำหนักขึ้นมากกว่าเดิม

หากนี่คือปัจจัยหลักที่ทำให้คุณลดน้ำหนักไม่สำเร็จสักที ก็ลองทำตามกันดู แล้วคุณจะมีหุ่นสวยได้ไม่ยากอย่างแน่นอน
Cr.http://www.healthandtrend.com/slimming/diet/4-stories-close-to-us-that-we-failed-to-lose-weight

เป่าผมอย่างไรให้ไม่เสีย แถมอยู่ทรงสวย

สาวๆ ส่วนใหญ่ที่ชอบเซ็ทผมมักจะกังวลกับปัญหาการเป่าผมด้วยความร้อนแล้วผมเสียกันใช่ไหมคะ แต่ถ้าเราเป่าผมอย่างถูกวิธี ผมก็จะสวยไม่ชี้ฟู แถมยังดูดีอีกด้วยนะ ลองดูเคล็ดลับนี้ไปพร้อมๆ กับสดสวยเลยค่ะ
how-to-dry-the-hair-to-save-the-hair

ใช้ผ้าขนหนูช่วย

หลังจากสระผมเสร็จใหม่ ๆ ให้ใช้ผ้าขนหนูซับผมเบา ๆ ให้พอหมาด และถ้าอยากให้ผมแห้งเร็ว แนะนำว่าให้นำผ้าขนหนูผืนแห้งอีกผืนมาคลุมผมอีกชั้น แล้วใช้ไดร์เป่าลงที่ผ้าขนหนู ซึ่งวิธีใช้ผ้าคลุมผมนี้ จะช่วยให้ผมไม่โดนความร้อนโดยตรงจากไดร์เป่าผม อีกทั้งผ้าขนหนูยังช่วยซับน้ำและกระจายความร้อนให้ทั่วศีรษะ จึงทำให้ผมแห้งเร็วขึ้น แถมยังไม่ทำให้ผมแห้งเสียและไม่แตกปลายอีกด้วยค่ะ

ผลิตภัณฑ์ปกป้องผม

ก่อนที่สาว ๆ จะไดร์ผม หรือใช้อุปกรณ์จัดแต่งทรงผมที่ต้องใช้ความร้อน ควรใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องเส้นผมจากความร้อน เช่น สเปรย์กันความร้อน ครีมหรือน้ำยาป้องกันความร้อน ช่วยทำให้ผมไม่แห้งเสีย เปราะบางและขาดหลุดร่วงง่ายค่ะ

เลือกแปรงดีๆ

การเป่าผมต้องมีอุปกรณ์ที่เหมาะสมช่วยด้วยนะคะ นั่นก็คือแปรงหวีผมนั่นเอง ควรเลือกแปรงแบบกลม ที่ทำมาจากขนหมู เพราะจะช่วยรักษาเกล็ดผมทำให้ผมเงางาม ไม่เสียง่าย อย่าใช้แปรงที่เป็นเหล็กเพราะจะยิ่งสะสมความร้อน เวลาดึงผมจะทำให้เกล็ดผมเสียหายได้ค่ะ

แบ่งผมออกเป็นช่อ ๆ

แบ่งผมออกเป็นช่อ ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดทรง ซึ่งการแบ่งผมนี้จะช่วยให้เป่าผมได้แห้งสนิททั่วทั้งศีรษะ ทั้งยังง่ายต่อการจัดทรงผมอีกด้วยนะคะ

เป่าผมในแนวดิ่ง

การเป่าผมที่ดีควรเป่าผมในแนวดิ่งจากด้านบนลงด้านล่าง ตั้งแต่โคนผมลงไปถึงปลายผม จะทำให้เส้นผมดูเรียบตรง เงางาม และดูเป็นธรรมชาติ แต่ควรเว้นระยะระหว่างไดร์เป่าผมกับศีรษะให้พอดีประมาณ 15 เซนติเมตร ไม่ควรจ่อไดร์ใกล้ศีรษะเกินไป เพราะเส้นผมจะโดนความร้อนที่มากเกินไป อาจทำให้หนังศีรษะระคายเคืองและผมแห้งเสียได้ค่ะ

ใช้ลมเย็นเป่าผม

หลังจากเป่าผมด้วยลมร้อนจนผมแห้งและได้ทรงสวยดีแล้ว ให้เปลี่ยนมาใช้ลมเย็นเป่าผมอีกครั้ง (ถ้าไดร์ของคุณมีลมเย็น) เป่าประมาณ 10 วินาที พร้อมใช้มือขยี้โคนผมให้ทั่วศีรษะ เพื่อให้เส้นผมดูสลวยสวยเป็นธรรมชาติ ทั้งยังเป็นการปิดเกล็ดผมชั้นนอก ซึ่งช่วยให้ผมดูเงางามด้วยค่ะ

ได้เคล็ดลับดีๆ กันไปแล้ว อย่าลืมนำไปใช้กันนะคะ เคล็ดลับนี้เหมาะกับสาวผมตรงที่ชอบเป่าผมเองไม่ชอบไปร้านทำผม มีประโยชน์มากๆ เลยค่ะ

Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/beauty-tips/how-to-dry-the-hair-to-save-the-hair

ดีลกับ “ผิวมัน” อย่างไร ในช่วงซัมเมอร์ที่กำลังจะมาถึง!

รู้สึกได้ถึงอุณหภูมิความร้อนระอุในช่วงเวลานี้กันไหมคะ นี่เพิ่งจะต้นปีแท้ ๆ ยังไม่ทันจะเข้าซัมเมอร์เลย เดิน ๆ อยู่ความมันบนใบหน้าก็ผุดขึ้นมาไม่เกรงใจเมคอัพบนหน้ากันบ้างเลย แบบนี้ปล่อยเฉยไม่ได้หรอกค่ะ มาเตรียมรับมือกับปัญหานี้กันเลยดีกว่า
handle-with-oily-skin

เลือกกินอาหาร

ช่วงอากาศร้อน ถ้าเราอยากจะลดความมันบนใบหน้า แนะนำว่างดอาหารรสจัดเสียหน่อยดีกว่า เพราะอาหารแบบนี้จะทำให้หลอดเลือดขยายตัว ทำให้เหงื่อออก ซึ่งก็จะทำให้หน้ามันเยิ้มขึ้นด้วยค่ะ

ลดใช้โทนเนอร์

บางคนอาจจะงงว่า อ้าว… ทำไมล่ะ ใช้โทนเนอร์มันจะช่วยลดหน้ามันได้ไม่ใช่หรอ บางครั้งการใช้โทนเนอร์ทุกวันเช้าและเย็นก็อาจทำให้ผิวของเราเสียสมดุลได้ ซึ่งอาจทำให้ผิวผลิตน้ำมันออกมาเกินปริมาณที่จำเป็น ใช้แค่สัปดาห์ละ 2-3 ครั้งก็เพียงพอค่ะ

เติมความชุ่มชื้นให้ผิว

ผิวชุ่มชื้นจะทำให้ลดความมันบนใบหน้าได้นะคะ เพราะเป็นผิวที่มีสมดุลเพียงพอ น้ำมันธรรมชาติจึงผลิตออกมาอย่างพอดี วิธีเติมความชุ่มชื้นให้ผิวก็คือ การดื่มน้ำสะอาดวันละ 2 ลิตร นอกจากนี้ก็อย่าลืมมอยส์เจอร์ไรเซอร์ เป็นสิ่งจำเป็นมาก อาจจะไม่ต้องบำรุงด้วยเนื้อครีมเสมอไป เซรั่มที่เติมความชุ่มชื้นก็ส่งผลดีต่อผิวได้ค่ะ

เลือกกรดซาลิซิลิก

กรดซาลิซิลิกเหมาะสำหรับคนผิวมันมากที่สุด เวลาเราล้างหน้าทำความสะอาดเครื่องสำอางควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีสูตรนี้ เพื่อช่วยปรับสมดุลไม่ให้ผิวแห้งตึงหลังล้างหน้า ทีนี้น้ำมันก็จะไม่ผลิตออกมามากเกินไปค่ะ

Cr.http://www.healthandtrend.com/beauty/skin-trouble/handle-with-oily-skin

5 วิธี ลงรองพื้นแบบไหนให้ผิวเนียน

การจะลงรองพื้นให้เนียน อยู่ที่หลาย ๆ องค์ประกอบด้วยกันนะสาว ๆ อันดับแรกคือเรื่องผิวของเราเอง ถ้าผิวเราเนียนสวยก็ถือว่าโชคดีมาก ๆ เพราะแทบไม่ต้องใช้ตัวช่วยอย่างอื่นเลย แต่ถ้าเราไม่โชคดีแบบนั้นล่ะ วิธีไหนบ้างที่จะช่วยให้การลงรองพื้นเป็นเรื่องง่าย และปรับผิวให้เนียนสวยเป็นธรรมชาติ วันนี้สดสวยนำเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ มาบอกต่อค่ะ
 5-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5-%e0%b8%a5%e0%b8%87%e0%b8%a3%e0%b8%ad%e0%b8%87%e0%b8%9e%e0%b8%b7%e0%b9%89%e0%b8%99

1.ลงไพรเมอร์

ไพรเมอร์เป็นตัวช่วยสำคัญของคนที่มีผิวหน้าไม่เรียบเนียนค่ะ ถ้าใครเป็นคนที่ผิวไม่เรียบเนียนหรือหน้ามัน ก็อาจจะต้องพึ่งตัวช่วยอย่างไพรเมอร์ค่ะ ใช้แค่เมล็ดถั่วเขียว แล้วลงที่จุดทีโซน และจุดที่ลงรองพื้นไม่ค่อยติด รวมทั้งบริเวณที่ผิวไม่เรียบเนียน จากนั้นก็รอให้ไพรเมอร์เนียนไปกับผิวสักพัก ค่อยลงรองพื้นในขั้นตอนต่อไปค่ะ

2.เกลี่ยรองพื้นที่ละจุด

เห็นบ่อยเลยว่าหลาย ๆ คนมักจะชอบลงรองพื้นไปก่อน 5 จุด ซึ่งไม่ควรเลยค่ะ เพราะรองพื้นที่ทาทิ้งไว้อาจจะแห้งติดผิว ทำให้เกลี่ยทีหลังได้ยาก แถมอาจจะเป็นคราบอีกด้วย เพราะฉะนั้นควรแต้มแล้วเกลี่ยไปทีละจุดจะดีกว่าค่ะสาว ๆ 

3.ฟองน้ำหมาด ๆ ช่วยได้

ฟองน้ำเปียกหมาดจะช่วยให้รองพื้นติดผิวได้ดีขึ้น หลังจากลงรองพื้นทั่วใบหน้าแล้ว แนะนำให้ใช้รองพื้นเปียกหมาดกดย้ำเบา ๆ จะช่วยทำให้รองพื้นติดแน่นขึ้นค่ะ

4.ทิ้งรองพื้นให้เซ็ตตัว

หลังจากลงรองพื้นเสร็จแล้วก็อย่าเพิ่งลงแป้งค่ะ ทิ้งให้มันเซ็ทตัวให้เข้ากับผิวของเราซัก 5 นาที มันจะช่วยให้ผิวดูเป็นธรรมชาติมากขึ้นค่ะ

5.ลงแป้งฝุ่น

ถ้าปกติแล้วเราเป็นคนผิวไม่เนียนเรียบ ไม่แนะนำให้ใช้แป้งผสมรองพื้นทาทับ เพราะมันจะยิ่งหนามากขึ้นค่ะ ควรใช้แค่แป้งฝุ่นปัดบาง ๆ หลังจากที่รองพื้นเซ็ตตัว มันจะช่วยทำให้ผิวเนียนสวยมากขึ้นค่ะ

 ทำครบทุกขั้นตอนผิวของเราก็จะสวยเป็นธรรมชาติได้ หลังจากนั้นก็เตรียมตัวแต่งหน้าในขั้นตอนต่อไปได้เลยค่ะ 
Cr. http://www.healthandtrend.com/beauty/skin/5-วิธี-ลงรองพื้น