‘พุง’ นับว่าเป็นส่วนไขมันที่ไม่ว่าจะผอมหรือจะอ้วนก็มีได้ทั้งนั้น ซึ่งหลายๆคนกลับคิดว่าไม่เป็นอะไรมากนัก เพราะเป็นเพียงไขมันสะสมเหมือนส่วนอื่นๆของร่างกาย แต่จริงๆแล้วไขมันสะสมที่พุงนั้นอันตรายมากกว่าไขมันที่อื่นๆ และควรที่จะลดให้ไวที่สุดเลยล่ะ!!
ไขมันที่พุงนั้นมีชื่อเรียกว่า Visceral Fat ซึ่งเป็นไขมันที่ไม่ดีต่อสุขภาพ เพราะอาจจะทำให้เกิดการอักเสบในระดับโมเลกุลได้ แถมยังส่งผลให้เกิดโรคเบาหวาน โรคหลอดเลือดหัวใจ รวมไปถึงอัลไซเมอร์ได้อีกด้วย
สาเหตุของการผอมลงพุงนั้นมีอยู่ 2 ข้อ นั่นก็คือ 1. ทานอาหารไม่ถูกประเภท และ 2. ไม่ออกกำลังกาย
อาหารแต่ละประเภทก็จะส่งผลถึงการสะสมไขมันในแต่ละที่แตกต่างกันออกไป แต่อาหารที่จะส่งผลต่อการสะสมไขมันที่พุงนั้นมีอยู่ 3 ประเภทดังนี้
1. น้ำเชื่อม (High-Fructose Corn Syrup: HFCS)
คือสารให้ความหวานที่สกัดได้จากข้าวโพด ใช้กันหลากหลายในอุตสาหกรรมอาหารเพราะมีราคาถูกและเก็บได้นาน HFCS จะพบได้มากในน้ำหวานต่างๆ ขนมขบเคี้ยว น้ำสลัด และเครื่องปรุงรสหวาน
จากการวิจัยพบว่าหนูที่ป้อนด้วยน้ำเชื่อม HFCS จะมีไขมันสะสมมากกว่าหนูที่ป้อนด้วยน้ำตาลปกติในปริมาณเท่าๆกัน
2. ไขมันทรานส์
คือไขมันสังเคราะห์ที่ใช้กันทั่วไปในอุตสาหกรรมอาหาร ผลวิจัยได้บอกเอาไว้ว่าการทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันทรานส์บ่อยๆ ถึงแม้จะไม่ได้รับแคลลอรี่โดยรวมมากมาย ก็จะทำให้พุงใหญ่ขึ้นด้วย ไขมันทรานส์มักจะประกอบอยู่ในขนมของทอด มาการีน ฟาสต์ฟู๊ด และอาหารแช่แข็ง
3. เครื่องดื่มแอลกอฮอล์
เบียร์ วิสกี้ ไวน์ ค็อกเทล ว็อดก้า ทั้งหมดนี้ล้วนแต่ทำให้เกิดไขมันสะสมบริเวณพุงได้มากขึ้นทั้งนั้น
เมื่อมีอาหารเพิ่มพุง ก็ต้องมีอาหารที่ช่วยลดพุงได้ และอาหารที่สามารถช่วยให้พุงลดลงได้นั่นก็คือ ‘อาหารกลุ่มไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้’ นั่นเอง!!
อาหารประเภทนี้จะพบมากในข้าวโอ๊ต ถั่วต่างๆ แตงกวา แครอท ต้นหอม สตรอเบอร์รี่ บลูเบอร์รี่ แอบเปิ้ล และส้ม โดยมีงานวิจัยบอกมาว่าการทานอาหารเหล่านี้ให้ได้ 10 กรัมต่อวันก็สามารถลดไขมันที่พุงได้แล้ว
สรุปแล้วการลดพุงนี่ไม่จำเป็นต้องลดปริมาณอาหารหรือลดแคลลอรี่โดยรวมเลยนะคะ เพียงแต่เลือกกินอาหารที่มีประโยชน์มากขึ้นและเลี่ยงอาหารที่เสี่ยงต่อการเพิ่มพุงให้ใหญ่แทน อีกทั้งต้องทำควบคู่กับการออกกำลังกายด้วยนะคะ จะได้กระตุ้นการสร้างกล้ามเนื้อให้เพิ่มขึ้นและกำจัดไขมันส่วนเกินออกไปให้หมด
Cr.http://www.girlsallaround.com/thin-girl-big-belly/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น