วันศุกร์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2558

วิธีการ ป้องกันหรือรักษาสิว

สิว จุดด่างดำ และเม็ดสิว...ไม่ว่าคุณจะเรียกพวกนี้ว่าอะไร นี่เป็นปัญหาผิวแสนโชคร้ายที่คนส่วนใหญ่ต้องพบช่วงเวลาหนึ่งในชีวิต โชคยังดีที่เรามีทางเลือกหลากหลายใช้จัดการกับเม็ดสิวที่กวนใจเหล่านี้ เรามีวิธีตั้งแต่การปรนนิบัติผิวอย่างดีเลิศ ใช้ยารักษาและครีมไปจนถึงผลิตภัณฑ์รักษาทำเองภายในบ้าน คุณอาจต้องลองผิดลองถูกระหว่างมองหาสิ่งที่เหมาะกับผิวของคุณ แต่อย่าได้กังวลไปเพราะบทความนี้บอกทางแก้ที่ใช้ได้กับทุกคน!

วิธีการ 1 จาก 3: ดูแลผิวของคุณ


Image titled 501828 1
1
ล้างหน้าวันละสองครั้ง. ใบหน้าคุณจำเป็นต้องสะอาดเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดสิว การล้างหน้าจะช่วยขจัดสิ่งสกปรก คราบเหงื่อไคล และน้ำมันส่วนเกินที่ก่อตัวขึ้นบนผิวหนังชั้นนอกของคุณ ถ้าอยากให้ดีกว่านั้น คุณควรล้างหน้าวันละสามครั้ง คือ เช้า กลางวัน เย็น ล้างด้วยน้ำอุ่นและใช้ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดที่อ่อนโยนต่อผิว ใช้ผ้าขนหนูแห้งซับหน้าให้แห้ง
  • เลี่ยงใช้ผ้าหยาบ ฟองน้ำ หรือรังบวบมาขัดผิว วัสดุเหล่านี้แต่จะระคายเคืองผิวและทำให้สิวบวมแดงมากกว่าเดิม ผ้าเช็ดตัวคุณอาจจะมีแบคทีเรียสะสมอยู่ จึงไม่ควรให้มาสัมผัสกับผิวหน้าของคุณ
  • ถึงแม้ว่าคุณอาจจะอยากล้างหน้าเกินสองครั้งในแต่ละวันถ้าคุณมีสิวขึ้นจำนวนมาก ระวังด้วยว่านี่ไม่ได้ช่วยให้ผิวคุณดีขึ้นเสมอไป การล้างหน้าบ่อยเกินจะทำให้ผิวแห้งและยิ่งระคายเคืองง่ายขึ้น
  1. Image titled 501828 2
    2
    ใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่ไม่ก่อให้เกิดสิว (Noncomedogenic moisturizer). หลังล้างหน้าคุณควรจะทามอยเจอร์ไรเซอร์ดีๆ เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ป้องกันไม่ให้ผิวแห้งและระคายเคือง อย่างไรก็ตามถ้าคุณมีสิวขึ้นอยู่จำนวนมาก คุณควรจะใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ให้ถูกกับลักษณะผิวของคุณ มอยเจอร์ไรเซอร์เนื้อเข้มข้นและมีความมันจะอุดตันรูขุมขนทำให้เกิดสิวเพิ่มขึ้น มองหามอยเจอร์ไรเซอร์ที่เขียนไว้บนฉลากว่า “ไม่ก่อให้เกิดสิว (noncomedogenic)” นี่แปลว่า ผลิตภัณฑ์นี้จะไม่ทำให้รูขุมขนของผิวคุณอุดตันซึ่งทำให้เกิดสิวขึ้น
    • นอกจากให้คุณมองหามอยเจอร์ไรเซอร์ที่ทำให้ไม่เกิดสิวแล้ว คุณควรจะใช้ความระมัดระวังในการเลือกผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับประเภทผิวของคุณ อย่างเช่น ถ้าคุณมีผิวมันมาก คุณอาจต้องใช้มอยเจอร์ไรเซอร์ที่เป็นเนื้อเจลบางเบา ในขณะที่ถ้าคุณเป็นคนผิวแห้งเป็นขุย คุณอาจต้องใช้แบบเนื้อครีมหนา
    • ดูให้แน่ใจว่าคุณล้างมือก่อนจะลงมือทามอยเจอร์ไรเซอร์ทันที มิฉะนั้น แบคทีเรียหรือเชื้อจุลินทรีย์ที่มือของคุณจะมาอยู่บนใบหน้าเวลาที่คุณทามอยเจอร์ไรเซอร์
  2. Image titled 501828 3
    3
    หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้าหรือบีบเม็ดสิว. ในแต่ละวัน มือเป็นส่วนที่สัมผัสกับสิ่งสกปรกและแบคทีเรียเยอะที่สุดเมื่อเทียบกับอวัยวะส่วนอื่นของร่างกาย ซึ่งเป็นที่มาว่าทำไมคุณไม่ควรจับหน้าคุณไม่ว่ากรณีไหนก็ตาม นอกจากการแพร่เชื้อแบคทีเรียและเสี่ยงต่อการติดเชื้อแล้ว การจับจุดด่างดำและเม็ดสิวทำให้เกิดอาการระคายเคืองและบวมแดง ยิ่งทำให้สิวดูแย่ลงกว่าเดิมและยืดเวลารักษานานออกไปอีก
    • การบีบสิวถึงแม้จะทำให้คุณรู้สึกพอใจแต่นั่นเป็นสิ่งที่แย่ที่สุดที่คุณทำต่อผิวตัวเอง การบีบสิวมีแต่จะสิวหายช้าลงและอาจเกิดการติดเชื้อและเป็นแผลเป็นตามมา รอยสิวนั้นทำให้หายยาก ดังนั้นคุณต้องหลีกเลี่ยงพฤติกรรมบีบสิว
    • คุณอาจเผลอเอามือจับหน้าตัวเองอยู่หลายครั้งโดยไม่รู้ตัว ระวังที่จะเอามือเท้าแก้มหรือคางในขณะนั่งอยู่ที่โต๊ะ หรือใช้มือรองศีรษะตอนนอนช่วงกลางคืน
  3. Image titled 501828 4
    4
    ใช้ทรีทเมนท์ขัดผิวและมาสก์หน้าอาทิตย์ละครั้ง. ผลิตภัณฑ์ขัดผิวและมาสก์หน้านั้นดีต่อผิวคุณและมีประโยชน์ต่อผิวแต่ควรใช้ไม่บ่อย ตัวขัดผิวจะขจัดเซลล์ผิวที่ตายแล้ว ในขณะเดียวกันก็ทำความสะอาดผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่ก็อาจทำให้ผิวแห้งและระคายเคืองได้ถ้าใช้บ่อยเกินไป โดยเฉพาะกับผิวที่มีแนวโน้มจะเกิดสิวง่าย
    • มาสก์หน้าดีต่อการทำความสะอาดผิวให้หมดจดและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย ทำให้การดูแลผิวแบบปกติของคุณกลายเป็นประสบการณ์เหมือนไปทำสปา แต่ย้ำอีกครั้ง คุณควรมาสก์หน้าอาทิตย์ละไม่เกินหนึ่งครั้ง เพราะในแผ่นมาสก์บรรจุส่วนผสมที่เข้มข้นซึ่งไม่เหมาะนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
  4. Image titled 501828 5
    5
    หลีกเลี่ยงใช้ผลิตภัณฑ์บนใบหน้าของคุณมากเกินไป. ใช้ครีม โลชั่น และเจลหลายๆ ตัวทำให้รูขุมขนอุดตันและเกิดสิวได้ ดังนั้น อย่าทาผลิตภัณฑ์สำหรับผิวหน้าจนหนาเตอะและทาหลายครั้งเยอะกว่าจำนวนที่ระบุไว้บนสินค้า เช่นเดียวกับเครื่องสำอาง ซึ่งควรจะทาให้บางที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ และควรเช็ดออกด้วยผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้าในช่วงท้ายของแต่ละวัน
    • ผลิตภัณฑ์สำหรับผมที่มีน้ำหอมกลิ่นฉุนหรือมีสารเคมีปริมาณสูงอาจจะอุดตันรูขุมขนถ้าผมของคุณมาปรกบริเวณใบหน้า ดังนั้น หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์พวกนี้เท่าที่จะทำได้ ใช้แชมพูและครีมนวดผมสูตรอ่อนโยนซึ่งจะไม่ระคายเคืองผิวคุณในขณะอาบน้ำ
    • ลดโอกาสที่ผิวจะสัมผัสกับความมันและแบคทีเรียด้วยการเปลี่ยนปลอกหมอนอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง และล้างทำความสะอาดแปรงแต่งหน้าบ่อยๆ
  5. Image titled 501828 6
    6
    ปกป้องผิวของคุณจากแสงแดด. ถึงแม้มีคำแนะนำบอกต่อกันว่าให้ผิวที่มีแนวโน้มเกิดสิวง่ายออกไปโดนแดด เพราะเชื่อว่านี่จะทำให้สิวแห้งลง ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังปัจจุบันกลับพูดในสิ่งตรงกันข้าม รังสียูวีจากแสงอาทิตย์จะทำให้เกิดสิวขึ้นอย่างแน่นอนและสิวอาจแดงและอักเสบมากกว่าเดิมด้วย
    • ด้วยเหตุนี้ การปกป้องผิวคุณจากแสงอาทิตย์จึงเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณควรสวมหมวกปีกกว้างและทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 หรือสูงกว่า
    • ระวังครีมกันแดดบางอันมีความมันและอาจอุดตันรูขุมขน ดังนั้น หาผลิตภัณฑ์ที่เขียนบนฉลากว่า “ไม่ก่อให้เกิดสิว (noncomedogenic)"
  6. Image titled 501828 7
    7
    รับประทานอาหารดีๆ. ถึงแม้จะมีการพิสูจน์แล้วว่าช็อกโกแลตและอาหารขยะอื่นๆ ไม่ทำให้ “เกิด” สิวขึ้นจริงๆ ผิวคุณก็ยังได้รับผลบวกเมื่ออยู่ให้ห่างจากอาหารมันเยิ้มอยู่ดี สิวเกิดขึ้นเมื่อมีน้ำมันส่วนเกินอุดตันรูขุมขน ดังนั้น จำกัดปริมาณน้ำมันที่คุณจะนำเข้าไปในร่างกายตั้งแต่แรกนี่เป็นการเดินไปถูกทิศ ยิ่งกว่านั้นถ้าร่างกายของคุณมีสุขภาพดีจากภายใน ก็จะสะท้อนให้เห็นที่ภายนอกเอง
    • อยู่ห่างจากอาหารจำพวก มันฝรั่งทอด ช็อกโกแลต พิซซ่า และเฟรนช์ฟราย อาหารพวกนี้มีปริมาณไขมัน น้ำตาล และแป้งสูง ซึ่งไม่ใช่ข่าวดีสำหรับผิวของคุณหรือสุขภาพโดยรวม คุณไม่จำเป็นต้องกันตัวเองออกมาอย่างสิ้นเชิง แค่พยายามจำกัดปริมาณที่คุณรับประทานสักหน่อย
    • กินผักและผลไม้มากๆ น้ำที่อยู่ผักและผลไม้จะช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิว ในขณะที่วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ จะทำให้ร่างกายคุณมีอาวุธจำเป็นไว้ต่อสู้กับสิว ถ้าให้ดียิ่งขึ้น พยายามกินผักและผลไม้ที่มีวิตามิน A สูง (เช่น บร็อคโคลี่ ผักโขม และแครอท) เพราะจะช่วยขจัดโปรตีนที่ก่อให้เกิดสิวออกไปจากระบบในร่างกาย และผักผลไม้ที่มีวิตามิน E และ C สูง (เช่น ส้ม มะเขือเทศ มันฝรั่งหวาน อะโวคาโด) ซึ่งมีผลต่อต้านอนุมูลอิสระและช่วยให้ผิวผ่อนคลาย[1]
  7. Image titled 501828 8
    8
    ดื่มน้ำเปล่ามากๆ. การดื่มน้ำมีประโยชน์ต่อผิวและสุขภาพของร่างกายโดยรวมอยู่หลายข้อ น้ำช่วยให้ร่างกายชุ่มชื้น ช่วยให้ผิวดูกระชับและเต่งตึง น้ำยังขับของเสียที่เป็นพิษออกจากระบบภายในร่างกายและป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาผิวขึ้น นอกจากนี้ น้ำช่วยให้การสันดาป (metabolism) ของเซลล์ผิวทำงานได้เป็นปกติและผิวฟื้นฟูสภาพตัวเองได้ คุณควรตั้งเป้าดื่มน้ำวันละ 5 ถึง 8 แก้วต่อวันให้ได้รับประโยชน์พวกนี้
    • อย่างไรก็ตาม ก็มีการดื่มน้ำแบบมาก “เกินไป” ดังนั้น คุณไม่ควรจะรู้สึกว่าต้องดื่มน้ำอยู่ตลอดเวลา การดื่มน้ำมากเกินไปจะทำให้เลือดเจือจางและทำให้ร่างกายของคุณมีความเสี่ยงอาจถึงขั้นเป็นลมชักได้ในกรณีรุนแรง ดื่มน้ำวันละแปดแก้วแล้วคุณก็จะมีสุขภาพที่แข็งแรงอยู่[2]
    • คุณควรเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป แอลกอฮอล์จะทำให้ระบบฮอร์โมนของคุณแปรปรวน ความไม่สมดุลของฮอร์โมนเทสโทสเทอโรนและเอสโทรเจนก็เป็นสาเหตุหลักอย่างหนึ่งที่ทำให้เกิดสิว นอกจากนี้ แอลกอฮอล์ยังทำร้ายตับ ซึ่งเป็นอวัยวะหลักที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพผิวที่ดี เพราะตับคอยปรับระดับของน้ำตาลในเลือดและฮอร์โมนให้เป็นปกติ และยังกรองพิษอีกด้วย[3]
    วิธีการ 2 จาก 3: ใช้ครีม ยา และการรักษา

    1. Image titled 501828 9
      1
      ใช้ครีมที่ขายตามเคาน์เตอร์. ถ้าคุณมีปัญหาสิวกวนใจไม่หยุด คงถึงเวลาที่ต้องออกแรงมากกว่าแค่ล้างหน้าให้สะอาดและกินอาหารที่ดีต่อสุขภาพแล้วล่ะ โชคยังดีที่มีครีมจำหน่ายตามเคาน์เตอร์จำนวนมหาศาลซึ่งสามารถสร้างความมหัศจรรย์ในการกำจัดสิวและป้องกันไม่ให้สิวเกิดเพิ่มอีก ครีมพวกนี้นำมาทาลงที่มีสิวเกิดโดยตรงและส่วนมากจะเห็นผลลัพธ์ของผิวที่ดีขึ้นเห็นได้ชัดภายใน 6-8 สัปดาห์ ส่วนผสมหลักๆ ที่พบในครีมเหล่านี้ได้แก่:
      • Benzoyl peroxide. Benzoyl peroxide จะกำจัดแบคทีเรียที่อยู่บริเวณผิวชั้นนอก และจะชะลอการผลิตน้ำมันในรูขุมขนในเวลาเดียวกัน สารนี้ยังเป็นเหมือนตัวลอกผิว ช่วยให้ผิวผลัดเปลี่ยนเซลล์ใหม่ Benzoyl peroxide ก็มีผลทำให้ผิวแห้งและระคายเคือง ดังนั้น คุณควรจะเริ่มใช้ที่เข้มข้นน้อยที่สุด
      • กรดซาลิซิลิก (Salicylic acid). กรดซาลิซิลิกเป็นส่วนผสมที่ช่วยกำจัดแบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิว กรดนี้ยังช่วยลดสิวหัวดำและหัวขาวซึ่งต่อไปจะกลายเป็นเม็ดสิวเมื่อเริ่มอักเสบ นอกจากนี้ กรดซาลิซิลิกช่วยให้ผิวผลัดเซลล์ผิวเก่าทิ้งป้องกันไม่ให้รูขุมขนอุดตัน และเผยเซลล์ผิวใหม่
      • ธาตุกำมะถัน (Sulfur). ธาตุกำมะถัน (Sulfur) มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรียและช่วยกำจัดสิวทั้งหัวขาวและหัวดำ ป้องกันไม่ให้สิวอักเสบซึ่งกลายเป็นเม็ดสิวในภายหลัง
      • เรติน่า เอ (Retin-A). เรติน่า เอ บรรจุวิตามินเอในรูปแบบกรด เป็นที่รู้จักในชื่อ all-trans retinoic acid ซึ่งจะทำหน้าที่เหมือนตัวลอกผิวเคมี ขัดผิวและชะล้างรูขุมขนที่อุดตัน
      • กรดอะซีลาอิก (Azelaic acid). กรดอะซิลาอิกลดจำนวนเม็ดสิวที่มองเห็นได้ กรดนี้ป้องกันไม่ให้มีความมันและลดการอักเสบของสิวรวมทั้งการเติบโตของแบคทีเรีย นี่ใช้ได้ผลดีโดยเฉพาะกับคนที่มีผิวโทนสีเข้ม[4]
    2. Image titled 501828 10
      2
      ปรึกษาแพทย์ผิวหนังให้จ่ายยาที่มีฤทธิ์แรงกว่าครีมทั่วไป. บางคนอาจพบว่าครีมที่วางจำหน่ายในเคาน์เตอร์ออกฤทธิ์ไม่แรงพอที่จะต่อสู้กับสิววายร้าย ในกรณีนี้คุณอาจขอให้แพทย์จ่ายยาที่มีความเข้มข้นมากกว่ายาทั่วๆ ไปซึ่งอาจแค่เล่นกลเฉยๆ.
      • ครีมที่แพทย์สั่งจ่ายส่วนมากมีส่วนผสมหลักที่สกัดจากวิตามิน A ตัวอย่างได้แก่ ผลิตภัณฑ์เช่น Tretinoin, Adapalene และ Tazarotene ครีมพวกนี้ทำงานด้วยการกระตุ้นให้เซลล์ผิวผลัดใหม่และป้องกันไม่ให้รูขุมขนอุดตัน [5]
      • มีครีมต้านแบคทีเรียแบบแพทย์สั่งจ่ายจำนวนมาก ซึ่งจะขจัดแบคทีเรียที่อยู่บนผิวหนังชั้นนอก
    3. Image titled 501828 11
      3
      พิจารณาการใช้ยาปฏิชีวนะ. ในกรณีที่อาการสิวขึ้นหนักปานกลางหรือสาหัส แพทย์มักแนะนำให้ใช้ครีมที่มีขายทั่วไปพร้อมกับรับประทานยาปฏิชีวนะ ทั้งสองอย่างจะช่วยลดการอักเสบและยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย การรักษาด้วยยาปฏิชีวนะมักใช้เวลาราว 4 ถึง 6 เดือน ถึงแม้ว่าคุณจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่เปลี่ยนแปลงของผิวไปในทางที่ดีขึ้นภายใน 6 สัปดาห์ก็ตาม
      • โชคไม่ดีนัก ทุกวันนี้หลายคนมักสร้างภูมิต้านยาปฏิชีวนะได้เร็ว ดังนั้น วิธีรักษานี้อาจไม่ได้ผลอย่างเต็มประสิทธิภาพ
      • ยาปฏิชีวนะบางตัว (เช่น Tetracyclines) จะลดประสิทธิภาพขอยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน ดังนั้น ผู้หญิงควรใช้วิธีคุมกำเนิดอื่นๆ เผื่อด้วยเมื่อต้องกินยาปฏิชีวนะ[4]
    4. Image titled 501828 12
      4
      ในกรณีที่เป็นสิวรุนแรง ลองดูวิธีรักษาด้วยยา Isotretinoin. ถ้าวิธีการอื่นๆ ล้มเหลวและสิวยังขึ้นบนหน้าคุณอยู่ แพทย์ผิวหนังอาจแนะนำให้รับประทานยา Isotretinoin ตัวยานี้มีส่วนคล้ายกับวิตามิน A อย่างมาก และทำงานด้วยการลดปริมาณน้ำมันที่ผลิตจากต่อมไขมันและทำให้ต่อมนั้นหดตัวลง การรับประทานยา Isotretinoin มักใช้เวลาราว 20 สัปดาห์ ในช่วงนี้ คนที่ทานยาต้องได้รับการควบคุมอย่างใกล้ชิด เนื่องจากยานี้ส่งผลข้างเคียงหลายประการ
      • เมื่อรับประทานยา Isotretinoin สิวจะเริ่มมีอาการแย่ลงก่อนที่จะเริ่มดีขึ้น การที่มีสิวผุดขึ้นนี้มักกินเวลาไม่กี่สัปดาห์แต่บางครั้งอาจเกิดขึ้นตลอดระยะเวลาที่เข้ารับการรักษา
      • ผลข้างเคียงบางอย่างเกี่ยวข้องกับการรับประทานยา Isotretinoin เช่น ผิวและตาแห้ง ริมฝีปากแห้งแตกเป็นขุย ไวต่อแสงแดด และอาการที่ผิดปกติมากขึ้นอย่าง ปวดหัว ผมร่วง อารมณ์แปรปรวน และหดหู่
      • พบว่าวิธีรักษาแบบนี้เชื่อมโยงกับความบกพร่องในการให้กำเนิดบุตรขั้นรุนแรง ดังนั้น แพทย์ไม่สามารถสั่งจ่ายยานี้ให้กับหญิงที่ตั้งครรภ์หรือผู้หญิงที่กำลังจะมีบุตรได้ ด้วยเหตุนี้ ผู้หญิงจึงต้องทำผลตรวจสอบการตั้งครรภ์ก่อนที่แพทย์จะสั่งจ่ายยาตัวนี้[6]
    5. Image titled 501828 13
      5
      ถ้าคุณเป็นผู้หญิง ลองดูวิธีใช้ยาคุมกำเนิดแบบรับประทาน. เนื่องจากปัญหาสิวเกี่ยวข้องกับความไม่สมดุลของฮอร์โมน ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทานเป็นทางที่ดีในการปรับระดับการผลิตฮอร์โมนให้เป็นปกติและลดการเกิดสิวสำหรับผู้หญิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่กำลังมีประจำเดือน ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานซึ่งมีส่วนผสมของฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสโตเจนคือ norgestimate และ ethinyl estradiol มักจะให้ผลลัพธ์ได้ดีที่สุด
      • ยาคุมกำเนิดแบบรับประทานอาจส่งผลข้างเคียงที่รุนแรงได้แต่เป็นกรณีที่พบได้ยาก เช่น ความดันเลือดสูง และเพิ่มความเสี่ยงสูงที่จะเป็นโรคหัวใจ ดังนั้น ดูให้ดีว่าคุณพูดคุยถึงทางเลือกนี้กับแพทย์ก่อนจะเริ่มรับประทานยานี้[5]
    6. Image titled 501828 14
      6
      หาวิธีรักษาโดยผู้เชี่ยวชาญ. มีการรักษาอยู่หลากหลายวิธีที่ร้านสปาและคลินิกผิวหนัง ซึ่งจะช่วยปรับปรุงผิวที่มีแนวโน้มเกิดสิวให้ดูดียิ่งขึ้น เมื่อใช้วิธีนี้ร่วมกับวิธีรักษาที่กล่าวไปแล้วก่อนหน้านี้ วิธีรักษาจากผู้เชี่ยวชาญอาจจะอยู่ฝั่งที่มีราคาสูง แต่ก็ให้ผลในระยะยาวกว่าวิธีอื่นๆ และอาจช่วยป้องกันและลดเลือนรอยแผลเป็นด้วย วิธีเหล่านี้ได้แก่:
      • การทำเลเซอร์ การทำเลเซอร์ใช้วิธีส่องลึกลงไปในผิวและทำลายต่อมผลิตไขมันซึ่งผลิตไขมันส่วนที่เกินที่เป็นสาเหตุก่อให้เกิดสิว
      • การใช้แสง การใช้แสงจะพุ่งเป้าไปที่แบคทีเรียที่ก่อให้เกิดสิวซึ่งอยู่บนผิวหนังชั้นนอก ลดการอักเสบและปรับสภาพผิวให้ดียิ่งขึ้น
      • การลอกผิวหน้า การลอกผิวหน้าจะทำให้ผิวหนังชั้นนอกไหม้อยู่ภายใต้การควบคุม ทำให้ชั้นบนของผิวลอกออกและเผยให้เห็นผิวใหม่ที่อยู่ข้างใต้ วิธีการนี้ดีเป็นพิเศษในการกำจัดรอยจุดด่างดำหรือแผลเป็นที่หลงเหลืออยู่หลังจากสิวต่างๆ ถูกจัดการไปหมดแล้ว
      • การกรอผิวด้วยผงคริสตัล (Microdermabrasion) การกรอผิวด้วยผงคริสตัลใช้แปรงลวดหมุนได้เพื่อขัดชั้นด้านบนของผิว เผยให้เห็นผิวลื่นใหม่ที่อยู่ข้างใต้ นี่อาจจะไม่ค่อยสะดวกสบายและทำให้ผิวดูแดงและสดไปหลายวันจนกว่าผิวจะหายเป็นปกติ
      วิธีการ 3 จาก 3: ใช้ยารักษาเองที่บ้าน

      ยาจากสมุนไพร

      1. Image titled 501828 15
        1
        ใช้น้ำมันทีทรี (tea tree oil). น้ำมันทีทรีเป็นยารักษาจุดด่างดำแบบธรรมชาติที่ดีที่สุดชนิดหนึ่ง สกัดจากใบของต้น “melaleuca alternifolia” ของออสเตรเลีย น้ำมันทีทรีมีสรรพคุณต้านแบคทีเรีย เชื้อรา และไวรัส ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งจะต่อสู้กับแบคทีเรียบนผิวหนังที่เป็นสาเหตุของสิวได้ผล เพียงแค่หยดน้ำมันทีทรีบริสุทธิ์หนึ่งถึงสองหยดลงบนสำลีที่ห่อก้าน จากนั้นแตะลงบนเม็ดสิวที่เป็นปัญหา ทำแบบนี้วันละสองครั้งและสิวก็จะหายไปในเวลาไม่นาน!
        • น้ำมันทีทรีเป็นน้ำมันหอมระเหยจึงมีความเข้มข้นสูง ถ้าคุณใช้น้ำมากเกินไปหรือทาโดยตรงที่ผิวสภาพปกติ ผิวของคุณอาจจะแห้งและระคายเคือง ดังนั้น ให้ใช้ในปริมาณเล็กน้อยและเท่าที่จำเป็น
        • งานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่าน้ำมันจากต้นทีทรีจัดการกับสิวได้อย่างมีประสิทธิภาพเทียบเท่ากับ benzoyl peroxide ซึ่งมีสารเคมีใกล้เคียงกัน น้ำมันทีทรีใช้เวลานานกว่าจึงจะเห็นผล แต่ก็ทำให้เกิดผลข้างเคียงในด้านลบน้อยกว่า[7]
      2. Image titled 501828 18
        2
        ใช้น้ำผึ้ง. น้ำมันเป็นผลิตภัณฑ์ในการรักษาจากธรรมชาติสุดวิเศษ สรรพคุณในการต้านเชื้อแบคทีเรีย ฆ่าเชื้อโรค และให้ความชุ่มชื้นทำให้น้ำผึ้งเป็นทางเลือกชั้นเยี่ยมสำหรับต่อกรกับสิว โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าผิวคุณแพ้ง่าย น้ำผึ้งมานูก้า (Manuka honey) เป็นคู่ต่อสู้กับสิววายร้ายได้ดีที่สุด แต่น้ำผึ้งดิบหรือน้ำผึ้งที่ไม่ผ่านการอบความร้อนก็สามารถใช้ได้ดีเหมือนกัน
        • คุณสามารถใช้น้ำผึ้งเป็นยารักษาเฉพาะจุดหรือใช้เป็นมาสก์หน้า โดยทาให้ทั่วหน้าที่สะอาดและเปียกอยู่ เพราะน้ำผึ้งไม่ทำให้ผิวระคายเคือง คุณสามารถทาทิ้งไว้บนหน้าได้นานแค่ไหนก็ได้
        • ข้อหนึ่งที่คุณควรทราบคือ น้ำผึ้งก็เหมือนกับยารักษาทำเองอื่นๆ ในบ้าน คือใช้เพื่อทำความสะอาดสิวที่ยังไม่ผุดขึ้น (เนื่องจากมีสรรพคุณต้านเชื้อแบคทีเรีย) แต่จะได้ผลน้อยในการป้องกันไม่ให้สิวเกิดขึ้นใหม่ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิวที่เกิดจากฮอร์โมนขาดความสมดุล)[8]
      3. Image titled 501828 19
        3
        ลองน้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์. น้ำมันหอมระเหยจากลาเวนเดอร์ซึ่งมีชื่อเสียงในสรรพคุณผ่อนคลายและบรรเทานั้นสามารถใช้เป็นยารักษาเฉพาะจุดสำหรับเม็ดสิวได้ดีเท่าๆ กับน้ำมันทีทรี น้ำมันลาเวนเดอร์มักใช้สำหรับผิวที่ไหม้แดดเพราะมีสรรพคุณในการรักษาซึ่งสามารถนำมาใช้รักษาสิวได้เช่นกัน นอกจากนี้ น้ำมันลาเวนเดอร์ยังมีสารต้านแบคทีเรีย ซึ่งช่วยทำความสะอาดรูขุมขน และลดขนาดของเม็ดสิวที่มองเห็นได้
        • วิธีใช้ ใช้ก้านสำลีแต้มน้ำมันบริสุทธิ์ลงบนเม็ดสิวลงโดยตรง ระวังอย่าให้ถูกผิวที่อยู่รอบๆ สิว เพราะน้ำมันลาเวนเดอร์สกัดบริสุทธิ์อาจทำให้ผิวระคายเคืองได้[9]
      4. 4
        ใช้ว่านหางจระเข้. นำว่านหางจระเข้ชิ้นใหญ่มาหนึ่งชิ้น ทานวดบริเวณที่มีสิวขึ้น นวดผิวบริเวณที่เป็นสิวด้วยว่านหางจระเข้ ทิ้งไว้ครึ่งชั่วโมง ใช้น้ำร้อนล้างออก
        โฆษณา

      วิธีรักษาแบบเย็น

      1. Image titled 501828 16
        1
        ลองใช้ก้อนน้ำแข็ง. สิวมักจะปรากฏตัวขึ้นโดยการเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงและอักเสบ ดังนั้นวิธีที่ดีกว่าที่จะทำให้สิวใกล้ระเบิดพวกนั้นเย็นลงก็คือ ใช้น้ำแข็งบรรเทา น้ำแข็งจะลดอาการอักเสบและความแดง ทั้งยังช่วยให้หน้าตาของสิวดูดีขึ้น ใช้กระดาษทิชชู่ห่อน้ำแข็งหนึ่งก้อนหรือใช้ผ้าขนหนูสะอาดก็ได้ ค่อยๆ วางกดลงบนสิวเป็นเวลาหนึ่งถึงสองนาที[10]
        • เทคนิคเพิ่มเติมคือ ใช้ชาเขียวนำแช่ให้เป็นก้อนน้ำแข็งและวางลงบนสิวแทน นอกจากจะมีสรรพคุณลดการอักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรียแล้ว งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า สารต่อต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังช่วยลดการผลิตน้ำมันของผิวได้ด้วย.[11]
        โฆษณา

      ยารักษาจากของใช้ในห้องน้ำ

      1. Image titled 501828 17
        1
        ใช้ยาสีฟัน. ความรู้ที่ว่ายาสีฟันสามารถใช้รักษาสิวเป็นที่รู้กันดีมาหลายปีแล้ว และในขณะที่ยาสีฟันอาจไม่ใช่ยารักษาเฉพาะจุดที่ได้ผลดีที่สุด แต่ยาสีฟันก็สามารถนำมาใช้แทนได้เช่นกัน ยาสีฟันบรรจุส่วนประกอบเช่น เบคกิ้งโซดา และ hydrogen peroxide ซึ่งจะทำให้สิวแห้งลง ช่วยให้พวกมันหายไปเร็วขึ้น
        • เลือกยาสีฟันที่ปราศจากฟลูออไรด์และมีเนื้อขาวล้วนถ้าเป็นไปได้ และดูให้แน่ใจว่าคุณทายาสีฟันลงบนสิวโดยตรงไม่ใช่ผิวที่อยู่รอบๆ ส่วนประกอบอื่นๆ ในยาสีฟันอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้ผิวไหม้ได้[12]
      2. Image titled 501828 22
        2
        ใช้ยาแอสไพรินบดละเอียด. ชื่อทางเทคนิคสำหรับแอสไพรินคือ กรดอะซีทัลซาลิซิลิก (acetylsalicylic acid) ซึ่งใกล้เคียงมากกับกรดซาลิซิลิก (salicylic acid) ที่ใช้เป็นยารักษาสิวซึ่งเป็นที่รู้จักและคนนิยมกัน แอสไพรินมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งจะช่วยลดขนาดและความแดงของสิว เมื่อใช้ทาเฉพาะที่ ทั้งหมดที่คุณต้องทำก็แค่บดเม็ดยาแอสไพรินหนึ่งเม็ดเติมน้ำหนึ่งถึงสองหยดเพื่อทำให้เป็นเนื้อยาสำหรับป้าย และนำไปแต้มลงบริเวณที่มีสิวขึ้นได้โดยตรง
        • อีกทางเลือกหนึ่ง คุณสามารถทำมาสก์หน้าได้ด้วยการบดแอสไพรินจำนวนห้าถึงหกเม็ดและเติมน้ำลงไปเพื่อทำเป็นเนื้อสำหรับป้าย นี่สามารถนำมาทาได้ทั้งใบหน้าและปล่อยทิ้งไว้ราวสิบถึงสิบห้านาทีก่อนจะล้างออก[13]

        ยารักษาจากในครัว

        1. Image titled 501828 20
          1
          ใช้มะเขือเทศ. มะเขือเทศเป็นยาในบ้านใช้รักษาสิวที่หาได้ใกล้ตัว เพราะคนส่วนมากมักมีมะเขือเทศหนึ่งหรือสองลูกอยู่ในครัวของพวกเขา มะเขือเทศอุดมไปด้วยวิตามิน A และ C ซึ่งอย่างที่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้เป็นวัตถุดิบใช้จัดการกับสิวเป็นอันดับต้นๆ น้ำมะเขือเทศเป็นยาสมานจากธรรมชาติ ซึ่งจะทำให้ผิวด้านนอกของสิวหดตัว
          • วิธีใช้ แค่ตัดมะเขือเทศสดและนำส่วนน้ำจากชิ้นมะเขือเทศนวดตรงสิว ทำแบบนี้วันละสองครั้งและคุณจะเริ่มสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้น
        2. Image titled 501828 21
          2
          ใช้น้ำเลมอนสด. การแต้มน้ำเลมอนสดลงบนสิวเป็นวิธีรักษาเองที่บ้านซึ่งเป็นที่นิยมมากที่่สุดอีกวิธีหนึ่ง เลมอนอุดมด้วยวิตามิน C ปริมาณมาก พร้อมกับกรดซิตริก (citric acid) ซึ่งช่วยขัดผิวและทำให้สิวแห้ง น้ำเลมอนยังมีฤทธิ์ในการฟอกสีซึ่งจะช่วยให้สิวดูแดงน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ใช้น้ำเลมอนสดเพียงเล็กน้อยแต้มลงที่สิวแต่ละจุดก่อนเข้านอนและทิ้งไว้ข้ามคืน
          • น้ำเลมอนไม่ควรจะนำมาทาผิวในช่วงกลางวัน ยกเว้นคุณตั้งใจจะอยู่ในอาคารตลอดวัน เพราะน้ำเลมอนทำให้ผิวคุณไวต่อแสงจึงเพิ่มความเสี่ยงที่แดดจะทำร้ายผิวคุณมากขึ้น[14]
          • เหมือนกับยารักษาทำเองภายในบ้านอื่นๆ น้ำเลมอนควรจะนำไปทาตรงที่เป็นสิวโดยตรง และไม่ให้ถูกผิวบริเวณรอบๆ สิว เพราะมีโอกาสที่กรดซิตริกในเลมอนอาจจะทำให้ผิวไหม้ได้

          Cr.http://th.wikihow.com/ป้องกันหรือรักษาสิว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น